“ความมีวินัย” และ “แพชชั่น” กุญแจสำคัญเพื่อเอาชนะ (ตัวเอง) ได้ทุกเป้าหมาย ในสไตล์ Peter Derman !!
หลายคนอาจจะรู้จัก “ปีเตอร์ เดนแมน” หนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษคนนี้ในฐานะนักแสดง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเขา
หลงใหลศิลปะแม้ไม้มวยไทยจนถึงขั้นลงแข่งในเวทีมวยจริงๆ ซึ่งบอกเลยว่ากว่าที่เขาจะมายืนในจุดนี้ได้ ต้องอาศัยแพชชั่นและวินัยในการใช้ชีวิตที่เฮลท์ตี้อย่างมาก!
ขับเคลื่อนชีวิตด้วย “การสร้างวินัย” และ Passion ในสิ่งที่รัก”
“การจัดสรรเวลาที่ดีสร้างวินัยให้กับตัวเอง คือต้องมีความรับผิดชอบ อย่างเวลารับงานชกมวยของไทยไฟท์ก็จะไม่รับงานละครอื่นเพิ่มช่วงนั้นเลย เพราะต้องทุ่มเทและจัดเวลาให้กับการซ้อมมวยแบบเต็มที่ อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือการสร้างวินัยด้วยแพชชั่นที่มาจากใจ ถ้าใจเราอยากทำอะไร แน่นอนว่าความมุ่งมั่นจะไม่ทำให้เราอยากเสียอะไรไปเลย ผมจะลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ โดยกำหนดตารางเวลาแล้วทำทันที จัดตารางคอยเตือนตัวเองเอาไว้ตลอด เพราะมันจะมีโมเม้นแบบ เดี๋ยวค่อยทำก็ได้มั้ง ทำให้เมื่อจัดตารางแล้วต้องลงมือทำเลย”
กีฬา สอนให้รู้จัก “ชัยชนะ” และ “ความพ่ายแพ้” เสมอ
“ผมเชื่อว่าการแข่งขันกีฬาทุกประเภทต้องมีแพ้ มีชนะอยู่แล้ว ถ้าเราแพ้ เราก็สามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาดจากการแพ้ตรงนั้นได้ สมมุติว่าถ้าคุณได้ขึ้นสังเวียนกับนักชกในตำนานแล้วแพ้ มันสามารถทำให้คุณได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ จากนักชกท่านนั้นได้ และผมก็มองว่าคนๆ นั้นควรจะต้องภูมิใจในตัวเองด้วย เป้าหมายหลักของผมจริงๆ เวลาแข่งขันกีฬาคือจะไม่เกี่ยวกับแพ้หรือชนะเลย ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง การลงแข่งขันมันคือการเรียนรู้ที่จะพัฒนาทักษะของตัวเองอยู่สม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นผมจะมีสมาธิ ใจเย็น ไม่กดดันตัวเอง”
ล่าฝันด้วยใจที่มุ่งมั่นและไม่มองว่าทุกอย่างเป็น “อุปสรรค”
“สำหรับผม การได้ขึ้นชกมวยครั้งแรกที่ภูเก็ต มันคือความฝันของผมจริงๆ ผมจะมุ่งมั่นทำความฝันให้สำเร็จด้วยการตั้งเป้าแล้วลุย ตอนนั้นทุกครั้งที่ซ้อมมวยกว่า 7 ชั่วโมง ไม่เคยมองว่ามันยาวนานเลยนะ คิดแค่ว่า อ้าว! ตีสองคือต้องเลิกซ้อมแล้วใช่มั้ย? พอนอนหลับก็ฝันถึงมวย ก่อนนอนก็คิดถึงมวย (หัวเราะ) ในหัวมีแต่มวยจริงๆ เหมือนชีวิตนี้ขาดมันไม่ได้ แล้วพอได้ขึ้นชกเสร็จ นั่นล่ะคือสิ่งที่ทำให้ผมสัมผัสกับฝันที่เป็นจริง แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเลย”
การประสบความสำเร็จในชีวิตจริงๆ คือการได้ทำในสิ่งที่ใจรัก
การประสบความสำเร็จในมุมมองขอเขาคือการได้ทำในสิ่งที่รัก อย่างการขึ้นต่อยมวยกับไทยไฟท์ครั้งแรกทำให้เขารู้สึกเป็นเหมือนรางวัลสูงสุด “ผมคิดว่าถ้าวันนึงแก่ตัวไป รู้ตัวเองว่าโอกาสที่จะขึ้นชกมวยเคยมาอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่ทำ แบบนี้คงต้องมานั่งเสียดายที่หลังชัวร์ พอคิดได้แบบนี้เลยตัดสินใจขึ้นชกไปเลยครับ และก็เตรียมพัฒนาทักษะตัวเองไปเรื่อยๆ”
ตารางออกกำลังกายในสไตล์ของ ปีเตอร์
“ตารางออกกำลังกายจะเปลี่ยนตามสถานการณ์ สำหรับผม มวยก็คือการออกกำลังกายประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ก่อนขึ้นชกมวยล่าสุด ตารางซ้อมมวยที่จัดไว้คือ ตั้งแต่หกโมงเย็นหรือหนึ่งทุ่มถึงตีสอง แต่วันไหนที่ไม่มีเวิร์คช็อปก็จะมีเวลาตั้งแต่ห้าหรือหกโมงเย็นจนถึงห้าทุ่ม ผมไม่เคยมองว่าต้องมีตารางออกแบบมาเพื่อบังคับให้ทำแบบตายตัวเลย รู้สึกว่าตัวเองอยากเวิร์คเอ้าท์อยู่แล้ว แบบ…เดี๋ยวเช้านี้ตื่นมาจะได้ซ้อมมวยแล้ว ก็รู้สึกดีใจ มีพลังขึ้นมาเองอะไรทำนองนั้นมากกว่า”
การทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคม ต้องมาก่อน!
“ถ้าวันนี้ผมไม่ใช่ปีเตอร์ที่แสดงละคร เดินแบบ หรือชกมวย ผมคงจะเป็นศาสตราจารย์ หรือครูสอนหนังสือเด็กๆ ทำมูลนิธิเพื่อสังคม ช่วยน้องหมา เปิดโรงเรียนให้เด็กๆ ในอนาคต เพราะผมมีคติประจำใจว่า การแบ่งปันต่อสังคมเป็นสิ่งสำคัญมาก และก็เชื่อว่าถ้าเราสามารถจัดสรรเวลาให้กับตัวเองได้ดีแล้วเนี่ย เราก็จะมีเวลาไปช่วยเหลือสังคมหรือคนอื่นๆ ได้ด้วย”
อยากจะ “Healthy” ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย
“มีคนเคยบอกนะว่าผมเป็นคนค่อนข้างที่เฮลธ์ตี้ ซึ่งความเฮลธ์ตี้สำหรับผมคือการนอนให้พอ กินสารอาหารให้ครบ อย่างเมนูอาหารที่ทานคือ ต้องมี แครอท ผัก ผลไม้ นม โปรตีนหรือไขมันดีเพื่อให้ร่างกายมีวิตามินแร่ธาตุเพียงพอต่อวัน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามอย่างนี้ถือว่าเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของเราอย่างมาก”
หยุดความเฉื่อย! ด้วยการสร้างแรงจูงใจในการออกกำลัง
ปีเตอร์บอกกับเราว่า ถ้ามองในเชิงจิตวิทยา คนเรามักจะชอบผลัดวันประกันพรุ่ง จะดีกว่ามั้ย? ถ้าเราใช้คนที่รักเป็นแรงผลักดันในการเริ่มออกกำลังกายและดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น “จากประสบการณ์และหลักจิตวิทยา ถ้าคุยกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ฉันจะออกกำลังกายล่ะก็ สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ ผมอยากให้คุณลุกขึ้นมาทำเลย พอทำไปเรื่อยๆ ร่างกายก็จะค่อยๆ หลั่งสารออกมา ทำให้เราเสพติดไปเอง และถ้าแรงผลักดันให้ตัวเองยังไม่พออีก อยากให้คุณคิดถึงคนที่เป็นห่วงและรักคุณอยู่ให้มากๆ ลองหันมาใส่ใจ ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเพื่อคนที่คุณรักน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
เป็นยังไงล่ะ ได้ยินเขาบอกแล้วก็อยากจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายกันเลยใช่มั๊ยล่ะ วันแรกมันอาจจะรู้สึกยาก แต่เชื่อเถอะว่าถ้าผ่านไปซักหนึ่งอาทิตย์ คุณจะรู้สึกสนุกกับมันจนกลายเป็นแอคทิวิตี้ที่ขาดไม่ได้เลยล่ะ