‘Alice in Wonderland’ ไม่ใช่แค่ชื่อหนัง แต่คือชื่อ 'โรค' ที่มีอยู่จริง!



ใครเคยดูหนังเรื่อง Alice in Wonderland แล้วก็คิดแค่ว่าการที่อลิซตัวจิ๋ว หรือคนตัวยักษ์มันก็คือจินตนาการที่คนสร้างขึ้นมาในหนังเท่านั้นเอง แต่เอาจริงๆ แล้วจินตนาการในหนังคืออิงมาโรคจริงๆ นั่นแหละ งานนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ 

 


รู้จักโรค Micropsia หรือเรียกอีกชื่อว่าโรค Alice in Wonderland 
ทางการแพทย์ระบุว่าโรคนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อย่างเช่นระบบการรับรู้ทางการมองเห็นผิดปกติ ทำให้การรับภาพมีการบิดเบือนภาพสะท้อนในการมองเห็น  หรืออีกหนึ่งสาเหตุคาดว่าน่าจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอปสไตน์-บาร์ (Epstein-Barr virus) โดยเด็กที่มีอายุ 5-10 ปี คือกลุ่มที่มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคนี้มากที่สุด และนอกจากจะป่วยเป็นโรค Alice in Wonderland แล้ว การมองเห็นที่ผิดปกติแบบนี้อาจทำให้ผู้ที่ป่วยมีอาการสับสนมึนงง ส่งผลทำให้ปวดหัวจนเป็นไมเกรนเพิ่มขึ้นอีกโรคด้วย 

ไม่ได้เพี้ยน แต่มันคืออาการของโรคจริงๆ 
ถ้าเกิดเราเจอกับสถานการณ์แบบนี้ หรือมีเพื่อนคนไหนที่มาบอกว่าเขามองเห็นทุกสิ่งรอบตัวผิดปกติบิดเบือนไปจากความเป็นจริง อย่างเห็นบ้านเล็กเท่ากล่อง หรือเห็นมดตัวเท่าบ้าน ทั้งที่สายตาก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่าเพี้ยน เพราะเขาอาจกำลังเป็นโรคนี้อยู่ก็ได้ เนื่องจากสมองส่วนการรับรู้เปลี่ยนแปลงไปชั่วคราว โดยมากจะเป็นสัญญาณก่อนเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งตัวนักเขียนเรื่อง Alice in Wonderland  ลูอิส แครอลล์เองก็สารภาพว่า เขาเป็นไมเกรนอย่างหนัก จนเกิดภาพหลอน และมันก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเอามาเขียนลงในผลงานนั่นเอง

Oliver Sack ประสาทแพทย์ชื่อดังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอาการทางสมองของผู้ป่วยที่เขาพบเจอ และถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือด้วย ไม่ว่าจะเป็น “A man who mistook his wife as a hat” ที่เล่าเรื่องสามีที่เห็นภรรยาของเขาเป็นหมวกเนื่องจากสมองบกพร่อง หรือ “Migraine” กับเรื่องเล่าคนไข้ไมเกรนที่มาหาด้วยอาการแปลกๆ ซึ่งเขาได้เจอคนไข้โรคสมองมากมาย รวมถึงโรคไมเกรน โรคลมชัก และสมองอักเสบ มีอยู่บางรายบรรยายอาการแปลกๆ เกี่ยวกับความรู้สึก และการมองเห็นก่อนอาการปวดศีรษะ หรือก่อนอาการชักจะเริ่มขึ้น นอกจากนี้หลายรายมีความรู้สึกผิดปกติของเวลาร่วมด้วย เช่น รู้สึกว่าเหตุการณ์รอบตัวเคลื่อนไหวช้าแบบภาพ slow motion หรือรวดเร็วเหมือนกด forward เอาจริงๆ อาการแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ประหลาด จนบางทีคนไข้เองก็ประหลาดใจว่าจะเรียกว่ามหัศจรรย์หรือยังไงดี 

เอาเป็นว่าทางที่ดีที่สุดใครที่กำลังเจอกับอาการแบบนี้อยู่ อย่ามัวแต่มานั่งคิดว่าเอ๊ะมันคืออะไร ควรรีบพุ่งตัวไปพบแพทย์เพื่อเช็คสมอง ซึ่งบางคนอาจมีอาการอยู่ไม่กี่วันก็หาย แต่บางคนที่มีอาการหนักแพทย์ก็อาจจะทำการรักษาโดยให้ยาทานร่วมด้วย แต่ที่สำคัญคืออย่าปล่อยไว้ เพราะอาจส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆ ที่น่ากลัวตามมาได้






 

 
-->