ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! แค่เรื่อง ‘นอน’ ก็ทำให้บ้านแตกได้

 
พูดถึงการนอนภาพแรกที่ทุกคนมักจะนึกถึงคือเตียงนอนนุ่มๆ ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ยิ่งถ้าได้นอนข้างคนรักยิ่งทำให้อุ่นใจและเคลิ้มหลับได้ง่ายขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าสถิติจากกรมสุขภาพจิตและทะเบียนราษฎร์พบว่าปัญหาการนอนเป็นสาเหตุหนึ่งของการหย่าร้างมากถึง 15 เปอร์เซ็นต์




 
พฤติกรรมการนอนเริ่มมีปัญหา...เมื่อต้องใช้ชีวิตคู่
จากการเก็บข้อมูลของกรมสุขภาพจิตประจำปี 2019 พบว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเกี่ยวกับอาการ Nyctophobia ซึ่งเป็นอาการกลัวความมืด และจัดอยู่ในกลุ่มภาวะ Specific Phobias ซึ่งหมายถึงภาวะกลัวบางสิ่งบางอย่างแบบเฉพาะเจาะจง โดยข้อมูลที่แพทย์ได้รับส่วนใหญ่แล้วเกิดจากผู้ป่วยกลัวผีหรือสิ่งเร้นลับถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และที่น่าตกใจคืออีก 40 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเกิดจากสภาพจิตที่เคยมี Story อื่น เช่นเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศหรืออุบัติเหตุฝังใจในที่มืด ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เลือกที่จะเปิดไฟนอนเพื่อเพิ่มความ Safe และ Secure ให้กับตัวเอง ลำพังถ้านอนคนเดียวปัญหาก็คงไม่เกิด เว้นเสียแต่ว่าสิ้นเดือนแล้วยอดบิลค่าไฟอาจจะพุ่งสูงกว่าบ้านอื่นนิดหน่อย แต่ที่เป็นปัญหาคือ เมื่อใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยา 
 
แสงสว่างกับเรื่องของประสาทสัมผัส
ความมหัศจรรย์ของมนุษย์อย่างหนึ่งคือสามารถรับความรู้สึกจากอวัยวะเกือบทุกส่วนในร่างกาย ยิ่งถ้าเป็นดวงตาแล้วยิ่งเป็นจุดหนึ่งที่มีประสาทสัมผัสค่อนข้างไว เพราะในดวงตาจะมีจุด Ratina ซึ่งเป็นจุดประสาทที่ไวต่อแสง ลองนึกภาพตามดู คนที่นอนใช้ที่ปิดตาบนเครื่องบินหรือรถโดยสารที่ต้องเดินทางไกลๆ พฤติกรรมนั้นคือการทำให้จุดรับแสงในดวงตาพักการทำงาน จากนั้นเมื่อสมองรับรู้ว่าบรรยากาศรอบข้างมืดก็ถึงเวลาที่จะหลั่งฮอร์โมน Melatonin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความง่วงออกมา เมื่อฮอร์โมนตัวนี้หลั่งออกมาได้ไม่เต็มที่ก็จะเกิดปัญหาอีกหลายอย่างตามมาซึ่งไม่พ้นเรื่องสุขภาพแน่นอน
 
เมื่อหลับไม่สนิท...ปัญหาสุขภาพก็ยิ่งเข้ามาถาโถม
บ่อเกิดแรกของการแยกทางหรือหย่าร้างกันจากปัญหาเรื่องการนอนคือโรค insomnia หรือโรคนอนไม่หลับ โดยเฉพาะคนที่ร่างกายมีความ sensitive ต่อสิ่งรอบข้างมากๆ แม้แสงไฟแบบสลัวก็มีผลได้ และถ้าปล่อยไว้นานปัญหาทางด้านสุขภาพอื่นก็จะตามมาจากการนอนน้อย เช่น ผิวพรรณหมองคล้ำจากการหลั่ง Growth Hormones ที่ไม่เป็นไปตามนาฬิกาชีวิต พอเช้าในวันถัดไปก็จะส่งผลต่อระบบความจำและการประมวลผลจากสมองเพราะเมื่อคืนก่อนนอนไม่พอ หนักสุดก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าจากความเครียดจากระบบร่างกายที่ทำงานผิดปกติ
 
หยุดไขว่คว้า 'ยานอนหลับ' เพราะนั่นไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
หลายคู่รักที่พยายามหาทางออกเรื่องนี้โดยเริ่มจากการหาเมลาโทนินทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นแบบเม็ด เจลลี่แบบเคี้ยวหรือแบบอมใต้ลิ้นมาแก้ปัญหา ที่หนักกว่านั้นก็มีการพึ่งยาแก้แพ้และยานอนหลับ โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมาก แรกๆ การใช้ยากลุ่มนี้ก็อาจพอช่วยได้ แต่เชื่อเถอะว่าระยะยาวมีผลเสียแน่นอน บางรายถึงกับดื้อยาและต้องพบจิตแพทย์เพื่อรับยานอนหลับชนิดรุนแรง  ท้ายสุดแล้วพอไม่มียาตัวไหนช่วยได้ก็ถึงเวลาที่จะระเบิดความรู้สึกออกมาจนถึงขึ้นต้องแยกทางรักกัน
 
Balance ความรัก Balance ความสุข ... ต้องรู้จักปรับตัว
“เมื่อเธอรักฉันเธอต้องรับได้ทุกอย่างที่ฉันเป็น” อีกวลีนึงที่ได้ยินมาแต่ยุคโบราณ แต่อาจใช้ไม่ได้กับเรื่องการนอนซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอๆ กับเรื่องความรู้สึก ลองนึกดูสิว่าถ้าเราถอดจิตออกมายืนมองตัวเองและคู่รักนอนบนเตียงเดียวกันในห้องที่สว่างสไว คนหนึ่งนอนกอดหมอนข้างยิ้มหวานเพราะหลับฝันดี อีกคนหนึ่งนอนใส่ที่ปิดตาที่รัดตึงให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้แสงเล็ดรอดเข้าไปได้ ความสุขสองคนนี้อาจเป็นสิ่งที่ไม่ค่อย balance กันสักเท่าไหร่นัก บางคู่ที่ปรับตัวได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีพอๆ กับถูกหวย ภาพที่ออกมาก็เป็นการนอนในห้องที่ไฟสลัวๆ หรืออาจมีแสงสว่างจากโคมไฟเพื่อสร้างความอุ่นใจ แต่ที่พบคือการปรับตัวเข้ากันไม่ได้ซะมากกว่า
 
และเมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกันแล้วเกิดปัญหาเรื่องการนอน ทางออกที่น่าจะดีที่สุดคือการพบแพทย์เฉพาะทางโดยเร็วที่สุด ทั้งด้านการบำบัดจิตใจเพื่อรักษาอาการกลัวความมืดจากจิตแพทย์ หรือแพทย์แผนกนิทราเวชสำหรับผู้ที่นอนหลับยาก เพื่อประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและคนรักด้านสุขภาพ แต่เรื่องแบบนี้ก็ต้องฝากไว้ให้คิดเพราะถ้าใครไม่เคยอยู่ในภาวะกลัวความมืด หรือโรคนอนหลับยากย่อมไม่เข้าใจหัวอกคนมีปัญหา แต่ถ้าแก้ปัญหานี้ได้รับรองว่าความรักก็จะราบรื่นไปอีกเปราะหนึ่งแน่นอน 

 
-->