เส้นเลือดขอด กับอันตรายถึงชีวิต ที่สาวออฟฟิศต้องระวัง

 
สาวๆ ที่อยากสวยยืนหนึ่ง อาจต้องระวังกันหน่อย เพราะถ้ายืน (หรือนั่ง) นานไปนอกจากจะทำให้ขาสวยๆ ต้องมีริ้วรอยแล้ว ยังมีงานวิจัยของนายแพทย์คริสโตเฟอร์ คาเบรห์ล จากโรงพยาบาล Massachusetts General Hospital พร้อมคณะ ที่ได้ทำการศึกษาและออกมาบอกว่า ผู้หญิงที่นั่งนาน ประมาณ 41 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดในปอดได้มากกว่าผู้หญิงที่นั่งน้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถึง 2 - 3 เท่า นั่นเลยทำให้เราต้องรีบไปขอคำปรึกษาจาก นพ.หลักชัย วิชชาวุธ ศัลยแพทย์หลอดเลือดประจำ โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อเตรียมตัวป้องกันไว้ก่อนที่อะไรจะสายเกินแก้

 
แก้ไขความเข้าใจ แบบไหนคือเส้นเลือดขอด
เส้นเลือดขอด ในทางการแพทย์ก็คือการที่เลือดดำในหลอดเลือดดำไม่สามารถไหลกลับเข้าไปในร่างกายได้ตามปกติ หรือมีการไหลย้อนกลับ เป็นโรคที่เกิดบริเวณหลอดเลือดดำส่วนตื้น ซึ่งอาจจะคนละความหมายกับที่คนทั่วไปเข้าใจ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว เวลาที่เราคุยกับคนทั่วไป เขาจะเข้าใจว่าเส้นเลือดขอดคือการที่เส้นเลือดปูดขึ้นมา แต่ในทางการแพทย์จะไม่นับว่าการที่เส้นเลือดปูดขึ้นมานั้นเป็นโรค นอกจากว่าปูดขึ้นมาแล้วมีการไหลย้อนกลับของเลือดด้วย จึงจะถือว่าเป็นโรคเส้นเลือดขอด โดยลักษณะของอาการเส้นเลือดขอดที่ขาจะแบ่งตามระดับได้ ดังนี้
 
ขั้นแรก อาจจะมีอาการปวดขา ทั้งๆ ที่อาจจะยังมองไม่เห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนเลย แบบนี้คืออาการน้อยสุด ต่อมาใน ระดับที่ 2 จะเริ่มเห็นเส้นเลือดปูดที่ขาที่เราเข้าใจกัน เส้นเลือดขอดกับเส้นเลือดปูดที่ขา แต่เส้นเลือดขอดที่เป็นเส้นเลือดขอดทางการแพทย์จะไม่ใช่เป็นแค่ที่มันปูดออกมาตรงๆ แต่จะขดหยักไปหยักมา อย่างนี้ถึงจะบอกว่าเป็นเส้นเลือดขอด โดยทั้งสองระดับนี้จะมีเส้นเลือดไหลย้อนกลับหรือไม่ก็ได้ ซึ่งถ้าไม่มีการไหลย้อนกลับ ก็อาจจะแค่รักษาเรื่อง Cosmetic อย่างเดียวก็ได้ แต่ในระดับ 3 ขึ้นไป จะเกี่ยวกับเส้นเลือดขอดหรือเส้นเลือดไหลย้อนกลับอย่างชัดเจน โดยระดับ 3 จะเริ่มมีอาการขาบวม ระดับที่ 4 มีผื่นขึ้น  ระดับที่ 5 จะเป็นระยะที่มีแผล แต่สามารถหายได้ ดังนั้นตอนที่มาหาหมอแผลอาจหายไปแล้ว สุดท้ายในระดับ 6 เป็นระยะของแผลสด

สาเหตุอะไรทำให้เส้นเลือดขอด
โดยปกติร่างกายแล้วหลอดเลือดของคนเราจะมี 2 ระบบ คือ เลือดแดงกับเลือดดำ เลือดแดงก็จะรับเลือดมาจากหัวใจปั๊มเพื่อเอาสารอาหาร ออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ยกตัวอย่างขา ซึ่งภายหลังจากที่เลือดแดงเข้าไปในอวัยวะแล้ว ก็จะผ่านเข้าไปที่ตัวกล้ามเนื้อแล้วออกมารวมกลุ่มกันกลายเป็นเลือดดำ ไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หัวใจเพื่อไปฟอกต่อที่ปอด  ฉะนั้นเลือดดำที่ออกมาจากอวัยวะต่างๆ ก็เลยเป็นเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ สารอาหารต่ำ และมีของเสียจากกระบวนการทำงานของเซลล์ พูดอีกอย่างว่าหน้าที่ของหลอดเลือดดำก็คือเป็นเส้นทางให้เลือดดำวิ่งกลับไปที่หัวใจเพื่อไปฟอกที่ปอดได้ ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีอะไรก็ตามที่ทำให้การเดินของเลือดผิดปกติไป ก็จะทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้
 
หรือถ้าจะพูดกันให้เข้าใจง่ายๆ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือ เส้นเลือดดำอุดตัน เหมือนเวลารถติด พอเลือดมันผ่านจุดที่ติดกันไม่ได้ก็ทำให้เกิดการไหลย้อนกลับมา ของเสียก็เลยคั่ง ความดันในหลอดเลือดดำก็สูง จนเป็นที่มาของเส้นเลือดปูดโปน หรือเส้นเลือดขอดที่เราเข้าใจกัน 
 
แต่ส่วนใหญ่แล้วเส้นเลือดขอดมักไม่ได้เกิดจากอุดตัน โดยเฉพาะในกลุ่มของสาวๆ ที่เป็นกัน จะเกิดจากการที่เลือดดำไหลย้อนทาง ซึ่งเป็นในส่วนของเรื่องที่สอง โดยการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อที่น่อง คือปกติแล้วการที่เลือดดำจะไหลกลับเข้ามาเพื่อฟอกได้ ต้องอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อที่น่อง เพราะฉะนั้นคนที่มี activity เยอะๆ มีการลุกนั่ง เดิน วิ่ง หรือมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ก็จะไม่ค่อยมีอาการพวกนี้ เพราะกล้ามเนื้อได้หดตลอด แต่คำตอบที่ว่าทำไมสาวๆ ถึงชอบเป็น นั่นก็เพราะหนึ่งปัจจุบันนี้เราไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ สองก็คือการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานๆ หรือยืนนานๆ โดยที่ไม่ได้เดิน กล้ามเนื้อก็ไม่ได้มีการขยับ ไม่ได้มีการหดตัว เลือดก็ไปรวมกันอยู่ที่ขาไม่ได้มีการปั๊มเลือดกลับไป ทำให้ค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนถุงกาแฟ และเมื่อเลือดคั่งอยู่เยอะ เส้นเลือดก็ปูดขึ้นมา เลือดดำที่อยู่ในหลอดเลือดก็เยอะขึ้นซึ่งอย่างที่บอกไปครับ


 
เส้นเลือดขอด เป็นอันตรายถึงชีวิต...จริงมั้ย?
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าคนมักจะพูดสลับกันระหว่างเส้นเลือดดำอุดตันกับเส้นเลือดขอดนะครับ ซึ่งเส้นเลือดดำอุดตัน สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ตัวเส้นเลือดขอดจริงๆ ไม่ถึงชีวิต เพียงแค่เป็นแผล และทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง จากการที่ต้องไปทำแผล หรือถ้าไม่ถึงขั้นเป็นแผลก็อาจมีอาการปวดเมื่อยขา ซึ่งไม่เหมือนกับการปวดเมื่อยจากการออกกำลังกายที่สักพักก็หาย แต่อันนี้จะปวดแรงและนานกว่า ต้องนอนยกขาสูงสักครู่ถึงจะหายดี สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ และส่งผลกระทบต่อการนอนหลับในเวลากลางคืน  ซึ่งการรักษาโดยปกติคนที่มาปรึกษาด้วยเรื่องเส้นเลือดขอด ก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มาด้วยเรื่องของความสวยความงาม กับ สองกลุ่มที่มาด้วยเรื่องของอาการ ซึ่งการรักษาของทั้งสองแบบนี้ก็จะไม่เหมือนกัน 
 
#การรักษาถ้าเป็นเรื่องของความสวยความงาม ที่เป็นแค่เส้นเลือดฝอยขึ้นมา ก็จะรักษาด้วยการฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือด ทำให้เกิดการอักเสบ พังผืด และอุดตันในหลอดเลือดเล็กๆ จนเลือดไม่สามารถผ่านได้ ก็จะมองไม่เห็นเส้นเลือด แต่ไม่ใช่ว่าทำครั้งแรกแล้วจะหายเลย ส่วนใหญ่ต้องรักษา 4 - 5 ครั้งถึงจะหาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย และหลังจากฉีดยาเข้าไปแล้วจะต้องใส่ถุงน่องทันทีเป็นเวลา 1 - 2 วันหรือบางคนอาจจะใส่ 1 - 2 สัปดาห์เลย แล้วนัดมาทำซ้ำ เส้นเลือดฝอยที่เห็นชัดก็จะจางลง แต่ถ้ามีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาในระดับที่ 2 โดยที่ไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมก็จะรักษาโดยการลงมีด เป็นแผลเล็กๆ แล้วดึงเส้นเลือดให้ขาด ก็จะทำเป็นจุดๆไป โดยหลังทำก็ต้องใส่ถุงน่องประมาณ 24 - 48 ชม. หรือบางคนอาจจะใส่นานถึง 1 สัปดาห์
 
#สำหรับกลุ่มที่มาด้วยตัวโรค ก็จะต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ โดยดูว่ามีการอุดตันของเส้นเลือดดำส่วนลึกหรือเปล่า ถ้ามีการรักษาคือก็จะไปรักษาที่เส้นเลือดดำส่วนลึกเป็นหลัก ด้วยการให้ยาและใส่ถุงน่องทางการแพทย์ เพื่อลดความดันในหลอดเลือดดำ สำหรับกลุ่มนี้ถ้าจะผ่าตัดต้องคิดดีๆ เพราะคนที่เป็นเส้นเลือดดำอุดตันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำในอนาคตได้ และถ้าเราไปทำลายเส้นเลือดส่วนตื้นด้วย ก็อาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต ส่วนในกลุ่มของเส้นเลือดขอดที่เกิดจากการทำงาน นั่งนาน ยืนนาน กลุ่มนี้ไม่มีอาการอุดตัน แต่เป็นเพราะเลือดไหลผิดทาง เราจะ ultrasound ดูว่าตำแหน่งไหนของหลอดเลือดที่มีปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหลอดเลือดกลุ่มเส้น main ที่อยู่ตื้นๆ ด้านในของต้นขา โดยมีวิธีการรักษาตั้งแต่การผ่าตัดลงมีด เป็นวิธีแบบเก่า ต้องมานอนโรงพยาบาล ต้องมาบล็อคหลัง ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นคำแนะนำแรกๆ ในการรักษา เพราะขึ้นชื่อว่าการผ่าตัดก็ต้องมีการฟื้นตัวอย่างน้อย 4-5 วัน ไปจนถึงหนึ่งอาทิตย์ วิธีนี้จะทำให้มีแผลอย่างน้อย 2 แผลเล็กๆ ตรงขาหนีบ ใต้เข่า หลังจากลงแผลตรง 2 จุดนี้ ก็จะลากเส้นเลือดออกมา โดยหลังทำต้องใส่ถุงน่อง 1 สัปดาห์ ข้อเสียของการผ่าตัดแบบนี้ก็คือ การกลับเป็นซ้ำไม่ต่างกับวิธีอื่น ทั้งที่เจ็บตัวมากกว่า ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีวิธีการอื่นๆ ซึ่งได้มาตรฐานเข้ามาแทน เรียกว่าการผ่าตัดผ่านสายสวน ทำให้มีแค่รอยเข็มทิ่มบริเวณใต้เข่า โดยมีวิธีการให้เลือก ดังนี้
 
1. การใช้เลเซอร์ เป็นวิธีที่เกิดขึ้นก่อน โดยจะใช้เข็มจิ้มไปบริเวณเส้นเลือดที่อยู่ต่ำกว่าเข่าเล็กน้อย เพื่อใส่สายสวนเข้าไป ตรงปลายสายจะเป็นเลเซอร์ให้ความร้อน ซึ่งเส้นเลือดที่โดนความร้อนนั้นก็จะอักเสบและอุดตัน 
2. การใช้คลื่นวิทยุหรือ RFA มีวิธีทำเหมือนกันกับแบบเลเซอร์ แต่ยูนิตให้ความร้อนจะเป็นรูปแบบของคลื่นวิทยุ ซึ่งจะแตกต่างกับแบบเลเซอร์ตรงที่การทำแบบเลเซอร์จะให้ความร้อนสูงกว่า และระยะเวลาของการกลับมาเป็นซ้ำต่ำกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่การใช้เลเซอร์กับคนที่มีรูปร่างผอมบางอาจทำให้เกิดความร้อนที่สูงกว่า และเกิดเป็นแผลเป็นบริเวณที่ทำได้ ซึ่งก็สามารถแก้ด้วยการฉีดยาชาเข้าไปตามแนวเส้นเลือดเพื่อให้ยาชาไปดูดซับความร้อน และหลังจากที่ทำแล้วทั้ง 2 วิธีจะต้องใส่ถุงน่องทั้งวันทั้งคืนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ดังนั้นถ้าจะสรุปก็คือไม่แตกต่างกันมากนัก 
3. การใช้กาวทางการแพทย์ วิธีนี้เป็นวิธีที่ใหม่ที่มีความรุนแรงในการทำน้อยที่สุด และใช้ยาชาเท่านั้น หลังทำไม่ต้องใส่ถุงน่อง ซึ่งขั้นตอนการทำก็คล้ายๆ กัน คือจะใส่อุปกรณ์เข้าไปตรงเส้นเลือดใต้เข่า แล้วยิงกาวทีละจุดๆ ห่างกันจุดละ 3 ซม. ข้อดีก็คือแค่ฉีดยาชาตรงที่เราใส่อุปกรณ์เข้าไป ใช้เวลาไม่นาน ทำเสร็จก็ใช้ชีวิตปกติได้เลย
-->