เธอเอาชนะ 'มะเร็งระยะที่ 3' ได้ภายใน 5 เดือน...แค่ตั้งกฏเหล็กในการใช้ชีวิต

อย่าเพิ่งหมดหวังเพียงแค่ได้ยินคำว่า "มะเร็ง" เพราะล่าสุดเราได้นั่งคุยระยะประชิดกับสาวออฟฟิศคนนึง เธอคนนี้ตรวจเจอโรคมะเร็งรังไข่ระยะที่สาม โดยที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณเตือนอะไรมาก่อน  แต่ในที่สุดเธอก็สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ภายในระยะเวลา 5 เดือน!

เราอยากให้คุณเปลี่ยนความเชื่อซะใหม่ เลิกท้อใจเพียงแค่ได้ยินคำว่ามะเร็ง ล่าสุด เราได้นั่งคุยกับสาวทำงานคนหนึ่ง เธอตรวจเจอโรคมะเร็งรังไข่ระยะที่สามตอนอายุเพียงแค่ 28 ปี และสามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ภายในระยะเวลา 5 เดือนเท่านั้น เธอบอกว่า “นอกจากการรักษาด้วยการทำคีโม เราต้องมีความตั้งมั่นและการจัดการชีวิตที่ดี ถ้าทำแบบนี้ก็หายได้” คุณจิ๊บ วารุณี ลอศิริกุล อายุ 34 ปี ที่วันนี้เธอขอแชร์ทุกอย่างที่จะสามารถช่วยให้คนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ก้าวข้ามผ่านมันไปได้โดยสำเร็จ!

ความผิดปกติแรกที่ต้องรู้ คือ “ท้องโตเหมือนมีพุง แต่ว่าแข็งมากผิดปกติ”
“อาการแรกที่จิ๊บมองว่าผิดสังเกตุคือ ประจำเดือนไม่มาเกือบสองเดือนเลยค่ะ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองน่าจะเครียดเลยทานยาสตรีเบนโลให้เลือดลมไหลเวียน พอทานเสร็จประจำเดือนก็มานะ แต่อีกไม่กี่เดือนท้องมันก็โตขึ้น จนหลายๆ คนคิดว่ามีพุง เพราะว่ามันเห็นชัดมาก ที่แย่กว่านั้นคือ เวลาเดินทางด้วยรถไฟฟ้าทีไร มีแต่คนลุกให้เรานั่ง เพราะคิดว่าเราท้อง

เธอเล่าต่อว่า พอผ่านมาสักระยะ  อาการต่อมาคือ เริ่มไม่สบายบ่อยมาก เป็นหวัดบ่อย ทานข้าวได้น้อยมาก แต่ที่แปลกคือ น้ำหนักเธอเพิ่มขึ้นมาสี่กิโลได้ยังไง "พอไปบอกเพื่อนที่ทำงาน ทุกคนก็วิ่งมาจับท้องเล่น ตอนแรกเขาคิดว่าเราอ้วน พอมองหน้าทุกคนหลังจากจับท้อง พวกเขากลับดูตกใจ ดูไม่โอเค เขาบอกจิ๊บว่า ท้องมันแข็งมากไปนะ ดูผิดปกติ เลยแนะนำให้ไปหาหมอสูติ ลองตรวจดูว่าท้องเราที่มันโตและแข็งเนี่ย มันเป็นอะไรกันแน่ จิ๊บเลยมาคิดดู แล้วรีบทำตามคำแนะนำของเพื่อนๆเลย เพราะกลัวมาก กลัวเป็นอะไรร้ายแรงเกินแก้ไข” 

 “จิ๊บนัดเจอหมอตามที่เพื่อนบอกเลย พอถึงวันนัด หมอเอามือกดที่ท้อง แล้วบอกว่ามีก้อนเนื้อใหญ่ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลางสิบห้าเซ็นติเมตร แต่ไม่ตกใจนะ เพราะคิดว่ามันเป็นก้อนเนื้อธรรมดาพอผ่าตัดเสร็จก็คือจบ แต่ที่น่าแปลกคือทางหมอรีบนัดมาผ่าตัดอีกสองอาทิตย์เลย มันค่อนข้างเร็วมาก”

หมอยืนยัน จากเคสของเธอว่า “ทำคีโม 4-6 คอร์ส ก็น่าจะหายขาดแล้ว”
“พอผลชิ้นเนื้อออกมาหลังผ่า ปรากฎว่าเราเป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่สาม อยู่ในระยะที่เซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง ตอนนั้นหมอบอกสาเหตุคือเกิดมาจากเซลล์ที่ผิดปกติในตัวเรา  เลยตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก  แต่หมอก็พูดให้กำลังใจได้ดีมาก บอกว่ามีทางรักษาแนนอน ขอเวลาไม่เกินห้าเดือนเท่านั้น วิธีการรักษาคือ ให้เรามาทำคีโม 4-6 คอร์ส ก็น่าจะหายขาด” 

ห้ามเชื่อว่า “รักษาไม่หาย” จนกว่าจะทำการรักษาจริง
“ตอนแรกไม่เชื่อนะคะว่าคีโมจะหายได้ คืนสองคืนแรก ยังทำใจไม่ได้ไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับอารมณ์ตรงนั้นยังไง  มีแต่คนบอกว่าทำคีโมมันทรมานมาก  บางคนก็ไม่รอด อาม่าถึงกับไม่ให้คีโมเลยนะ  เพราะแกเห็นคนแถวบ้านทำแล้วเสียชีวิต แล้วตอนนั้นเราก็แค่ 28 เอง เลยบอกกับตัวเองว่าน่าจะไหวอยู่ ขอสู้ เลยตัดสินใจหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้แบบจริงจัง เพื่อนๆก็มาช่วยเรานะ แต่จะเป็นการให้สมุนไพร วิตามิน สูตรอาหารมาหมดเลย  ธรรมะก็มาด้วยนะ แต่สุดท้ายเราก็เชื่อหมอ  เพราะการเสียชีวิตต้องมาจากปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่ทำคีโมแล้วเสียชีวิตเลย  พอคิดได้แบบนี้ก็บอกทุกคนว่า ขอลองรักษาก่อน หายไม่หายค่อยว่ากันอีกที” 

กฎเหล็กระหว่างการทำคีโม คือ “ต้องทานอาหารและพักผ่อนให้ได้” 
“หลังพักฟื้นสักครึ่งเดือนหมอก็นัดทำคีโมคอร์สแรก เรารู้แค่เพียงว่า เลือดต้องไม่จาง เราต้องมีร่างกายพร้อมต่อการรักษานี้ให้ได้ พอทำคีโมครั้งแรก เซลล์มะเร็งในร่างกายเริ่มตอบสนองต่อยาทันที  ผมร่วงจนเจ็บหนังหัวมาก เลยต้องโกนออกหมด ร่างกายอ่อนแอ แต่เรารู้เลยว่า ถ้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ การรักษาจะไม่เกิดขึ้นต่อแน่นอน เพราะต้องรอร่างกายพักฟื้นนานมากขึ้นกว่าเดิม เลยบอกตัวเองว่า อยากหายเร็วก็ต้องสร้างความพร้อมให้กับร่างกายให้เร็วที่สุด  หมออนุญาติให้ทานทุกอย่างได้ เน้นให้ครบห้าหมู่  แต่จิ๊บเน้นเมนูต้มผัก ผักนึ่ง ฟักทอง บร็อคโคลี่ ไม่เน้นของผัดหรือทอดเลย แต่ว่าถ้าอยากทานของทอดจะใช้น้ำมันเมล็ดทานตะวันแทนน้ำมันพืช และก็ทานวิตามินเสริมต่างๆ ที่ดีต่อร่างกาย ต่อด้วยบังคับให้ตัวเองพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะว่ามันมีผลดีต่อการทำการรักษาในครั้งต่อไปมากจริงๆ”

แม้ป่วยหนักก็ออกกำลังกายได้  “ห้ามนอนอยู่กับที่”
“จิ๊บเลือกไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ จะออกแรงแบบเบาๆ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ที่ต้องทำทุกวันคือ การเดินช้า เพราะมันช่วยให้ร่างกายได้ขยับ สิ่งที่จำเป็นมากสำหรับคนป่วยด้วยโรคนี้ คือการทำกิจวัตรประจําวันไปตามปกตินะ อย่างที่จิ๊บทำจะเป็นการเข้าวัด สวดมนต์ ทำทุกอย่างที่คิดว่าดีต่อใจและร่างกาย ห้ามนอนอยู่กับที่เด็ดขาด เพราะร่างกายอาจจะแย่ลงได้”  

การดูแลสุขภาพที่ดีเป็นทุนเดิม ช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว
“เวลาหลังเลิกงาน จะมีตารางออกกำลังกายจัดเอาไว้ตลอด เช่น  จันทร์ถึงพุทธจะวิ่งที่คอนโด วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือ เสาร์อาทิตย์จะวางแผนวิ่งตามสวนสาธารณะ  ชวนเพื่อนๆ มาวิ่งด้วยกัน รวมถึงลงวิ่งตามงานการกุศลต่างๆ เช่น วิ่งเทรล คือการวิ่งแบบผจญภัยบนพื้นที่ธรรมชาติ 15 กิโลฯ ยกเว้นแค่ในช่วงหน้าร้อนเพราะสภาพอากาศมันไม่อำนวย  การวิ่งเลยเป็นอะไรที่เสพติดมาก  ถ้าไม่ได้วิ่งเหมือนขาดอะไรไปเลย  ทำให้จุดนี้ค่อนข้างมั่นใจมากว่า สุขภาพเราแข็งแรงดีเป็นทุนเดิม  เพราะเวลาเข้ารับการรักษา  ผลกระทบข้างเคียงมันเกิดน้อยมาก ที่เห็นชัดคือ เรากินข้าวได้ปกติ ซึ่งบางคนทำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกว่าร่างกายไม่ได้อ่อนเพลียและแย่มากนัก หลายคนดูไม่ออกว่าป่วย พอมาเห็นว่าเราโกนหัวแล้วถึงจะรู้” 

“แรงผลักดันจริงๆ คือ เราต้องอยู่เพื่อใครบ้าง จะได้ดูแลตัวเองให้ดี”
“เราต้องเห็นค่าในตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกนะ ไม่ว่าจะมีใครอยู่ข้างเราหรือเปล่า ต้องบอกตัวเองเสมอว่าตัวเรามีค่า  อยู่เพื่อตัวเองก็ได้ สำหรับจิ๊บ คือต้องสู้เพื่อครอบครัว ที่ผ่านมาคือกำลังหลัก ถ้าพวกเขาไม่มีเราแล้วจะอยู่กันยังไง พอมองเห็นค่าของตัวเองปึ๊บ เลยต้องดูแลตัวเองจริงจัง   ถึงแม้ว่าป่วยหนัก ถ้าใจไม่ป่วย กายก็จะต้องดีขึ้นแน่นอน ทำให้ต้องออกกำลังกายเหมือนที่บอกไปก่อนหน้านี้เลย เพราะฉะนั้นแรงผลักดันจริงๆคือ ตัวเราเอง ส่วนครอบครัวเป็นตัวเสริมหลัก เข้ารับการรักษา ทำตามหมอสั่งทุกอย่าง ทำตัวเองให้ทานได้ นอนให้หลับ จำไว้ว่าถ้าใจเราสู้เราก็จะหาย ขอให้เชื่อที่จิ๊บบอกเถอะคะ”


เธอทำให้รู้ว่า หัวใจของการข้ามผ่านความเจ็บปวดจากโรคร้ายนี้คือ กำลังใจ และความหวัง  ที่สำคัญจงมีสติ! และต้องเข้าใจว่าการมีโรคก็เป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของชีวิต ที่จะช่วยให้ตัวเรามีภูมิคุ้มกันและเข้มแข็งมากขึ้นนั่นเอง





 
-->