ปรับทัศนคติด่วน!!! กับ 5 ความเชื่อเกี่ยวกับเมตาบอลิซึมที่หลายคนชอบเข้าใจผิด




เมตาบอลิซึม (Metabolism) อีกหนึ่งคำที่ถูกพูดถึงเยอะสุดๆ เวลาที่เราลดน้ำหนัก แต่เอาจริงๆ แล้วเรามั่นใจแค่ไหนว่ารู้จักกับคำนี้ดีพอ เพราะเราเชื่อว่ายังมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจ รวมไปถึงความเข้าใจแบบผิดๆ ด้วยว่าเมตาบอลิซึมนั่นคืออะไร ทำงานยังไง  และช่วยเราในเรื่องอะไรกันบ้าง 





ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนว่า…
เมตาบอลิซึม คือ กระบวนการทางเคมีที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ หรือสามารถรักษาภาวะต่างๆ ภายในร่างกายให้คงที่ ซึ่งกระบวนดังกล่าวประกอบด้วยการย่อยสารอาหารจากอาหาร และเครื่องดื่มที่บริโภคเข้าไป การเสริมสร้าง และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ในร่างกาย กระบวนการเมตาบอลิซึมจะเปลี่ยนอาหาร และเครื่องดื่มที่รับเข้าไปให้กลายเป็นพลังงาน เพื่อนำไปใช้ทำสิ่งต่างๆ เช่น หายใจ ไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงอวัยวะ ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อหดเกร็งย่อยอาหาร ขับของเสียออกมาในรูปปัสสาวะ หรืออุจจาระ รวมทั้งทำให้สมอง และเส้นประสาททำงานได้

และเมื่อมันมีความสำคัญขนาดนี้ก็เลยทำให้เกิดความคิดต่างๆ ที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับเมตาบอลิซึมกันเต็มไปหมดอย่าง

Myth 1 #อยากผอมให้แบ่งกินเป็นมื้อย่อยๆ 5-6 มื้อ
ประเภทของอาหารที่เรากินเข้าไป มีผลต่อระบบย่อยอาหารโดยตรง ถ้าอาหารมีเส้นใยสูง หรือมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำ ร่างกายเราก็จะใช้พลังงานเยอะขึ้นในการย่อย โดยเฉลี่ยแล้วระบบย่อยอาหารจะใช้พลังงานประมาณ 10% ของพลังงานที่เรากินเข้าไปต่อวัน นั่นหมายความว่า ยิ่งเรากินเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งต้องการพลังงานเพื่อมาย่อยมากเท่านั้น แต่อัตราก็จะอยู่ที่ 10% ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆ หุ่นจะเปลี่ยนแน่นอน เพราะว่าไขมันในร่างกายจะมีมากขึ้นเพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่เรากินเข้าไปต่อวันต่างหากล่ะ  ไม่ใช่การแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ

Myth 2 #ยิ่งอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญยิ่งช้าลง
ไม่ได้ผิดแต่ไม่ได้ถูกทั้งหมด เพราะระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย หรือ เมตาบอลิซึมจะทำงานช้าลงจริงเมื่ออายุมากขึ้น แต่จากตัวเลขพบว่า คนทั่วไปที่อายุน้อยกว่า 50 ปี เฉลี่ยแล้วจะเผาผลาญแคลอรี่น้อยลงปีละ 7 แคลอรี่เท่านั้นเอง เปรียบเทียบเอาง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบความต่างระหว่างคนอายุ 30 กับ 40 ถ้าให้ 2 คนนี้นอนทั้งวันเหมือนกัน คนอายุ 30 จะเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่าคนอายุ 40 แค่ 70 แคลอรี่ เท่านั้น รู้อย่างนี้แล้วถ้าเวลาอ้วนขึ้นก็อย่าเพิ่งรีบไปโทษเมตาบอลิซึมล่ะให้ดูที่การกิน กับการออกกำลังกายว่าสม่ำเสมอหรือเปล่าก่อนจะดีกว่า

Myth 3 #การออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่งแล้วจะล่ำ 
มีหลายคนที่กลัวการออกกำลังกายเเบบเวทเทรนนิ่งจะทำให้ล่ำ ดูตัวใหญ่ ตัวหนา แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น การเวทเทรนนิ่ง อย่างการยกน้ำหนัก วิดพื้น จะยิ่งช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งกล้ามเนื้อนี้จะเป็นตัวช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย โดยจะไปเพิ่ม BMR หรือ Basal Metabolism ซึ่งหมายถึง อัตราความต้องการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในชีวิตประจำวัน หรือจำนวนแคลอรีขั้นต่ำที่ต้องการใช้ในชีวิตแต่ละวัน แล้วการที่เรามีมวลกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายที่เหมาะสม จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการลด และควบคุมน้ำหนัก เเล้วถ้าเราออกกำลังกายอย่างเหมาะสมด้วยแล้ว กล้ามเนื้อจะไม่ได้มีการขยายขนาดผิดปกติจนทำให้รูปร่างผิดสัดส่วนอย่างที่ชอบนอยด์ๆ กันอย่างแน่นอน 

Myth 4 #กินอาหารเสริมที่ช่วยเร่งระบบเผาผลาญ ทำให้ลดน้ำหนักได้
ด้วยความที่ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัย หรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับว่าเราสามารถความอ้วนได้จริงจากการใช้อาหารเสริมเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ควรคุมอาหาร หรือออกกำลังกายร่วมด้วยถึงทำให้เห็นผลลัพทธ์โดยรวมเป็นน้ำหนักที่ลดลง แต่การที่ให้ฟันธงว่าอาหารเสริมไม่สามารถช่วยในการลดน้ำหนักเลยก็อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะสำหรับบางคนที่มีร่างกายการขาดโปรตีน หรือวิตามินบางชนิด การได้รับอาหารเสริมที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลก็จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้นมากกว่าการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว สรุปแล้วการใช้อาหารเสริมเพื่อช่วยในการลด หรือควบคุมน้ำหนักแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อน และไม่ควรพึ่งแต่อาหารเสริมอย่างเดียว ควรคุมอาหาร และออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

Myth 5 #กาแฟ และชาเขียวช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญ 
มีผลการวิจัยต่างๆ หลากหลายสำนักที่รองรับว่าการดื่มกาแฟ หรือชาเขียวประมาณ 1 หรือ 2 ถ้วยจะช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นการรักษา หรือเป็นการกระตุ้นระบบได้ตลอด เพราะเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟ  และชาเขียวช่วยเพิ่มการเผาผลาญ แต่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าจะคิดว่าจะมาใช้เป็นวิธีประจำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญล่ะก็ อาจทำให้เกิดอันตรายมากกว่าผลดีได้ อย่างทำให้นอนไม่หลับ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในบางคนได้ แถมยังไม่ได้ช่วยอะไรมากมายอย่างที่คิดไว้ด้วยแหละ   

หวังว่าอ่านจบเเล้วหลายๆ คนจะเข้าใจกับระบบการทำงานของเมตบอลิซึมกันแล้วเนอะ อันไหนที่เคยเข้าใจผิดก็เลิกทำซะ จะได้มีสุขภาพดี เฮลธ์ตี้กันให้ถ้วนหน้ายังไงล่ะ


 
-->