ชัวร์ หรือ มั่ว กับความเชื่อว่า “คลื่นโทรศัพท์มือถือ” ทำให้เป็นมะเร็ง
เราอาจจะเคยได้ยินมาสักพักแล้วถึงเรื่องคลื่นจากโทรศัพท์มือถือที่ใช้กันอยู่ในทุกๆ วันอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง หรือเนื้องอกในสมองได้ ซึ่งบางคนก็เชื่อ แต่บางคนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนไม่นานมานี้มีผลวิจัยล่าสุดออกมาอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้
หยุดนอยด์!! คลื่นจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้น่ากังวลเบอร์นั้น
ผลการวิจัยจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยสถาบันอนามัยสิ่งแวดล้อม เขาได้ทดลองวางโทรศัพท์มือถือจำนวนมากไว้ใกล้ๆ กับหนูทดลองต่อเนื่อง 9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 2 ปีเต็ม ผลออกมาว่า หนูตัวผู้ที่อยู่ในการทดลองมีขนาดเนื้องอกที่หัวใจโตขึ้น แต่ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างรังสีจากโทรศัพท์กับเนื้องอกในสมองอย่างที่หลายๆ คนกังวลกัน เพราะสัญญานมือถือนั้นเป็นแบบ Non Ionizing ที่ไม่มีแนวโน้มทำอันตรายกับ DNA ของมนุษย์ได้เลย
ตอกย้ำให้ชัดๆ อีกครั้ง...จากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
แม้แต่องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ก็ได้ทำการทดลองในลักษณะเดียวกันเมื่อประมาณช่วง 2 ปีก่อน โดยที่ทุ่มเงินไปกว่า 25 ล้านดอลลาร์ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือนั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับการเป็นมะเร็งอย่างที่เราเป็นกังวลกัน
แต่ก็ใช่ว่า...ไม่อันตรายและจะปลอดภัย 100%
ถึงผลการวิจัยจะยังไม่บ่งชี้ว่าก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้ง โดย นายโอทิส เบราว์ลีย์ หัวหน้าทีมแพทย์จากสถาบันโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา บอกว่าหลังจากได้อ่านงานวิจัยชิ้นนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่ามันปลอดภัย 100 % เพราะการให้หนูทดลองอยู่กับรังสีก็จริง แต่เจ้าหนูนั้นไม่ได้ใช้โทรศัพท์จริงอย่างเราๆ ซะหน่อย ถึงอาจจะไม่ก่อให้เกิดเนื้องอกในสมอง แต่ผลกระทบในด้านอื่นๆ อย่าง อาการหูตึง ปัญหาสุขภาพจิต การปวดคอ กล้ามเนื้อหัวไหล่จากการใช้โทรศัพท์นานๆ หรือแม้แต่เเสง Blue Light ที่มีผลกระทบต่อสายตา ก็ยังเป็นสิ่งที่พิสูจน์กันมาแล้วว่าส่งผลจริงๆ
“ใช้แต่พอดี” นี่แหละเวิร์คสุด
ก็โทรศัพท์มือถือกลายเป็นอัวยวะที่ 33 กันไปแล้ว ต่อให้ผลวิจัยจะออกมาแบบไหน เราก็คงไม่สามารถเลิกใช้กันไปได้ ซึ่งนักวิจัยทุกฝ่ายก็เห็นตรงกันว่าถ้าใช้กันเกินพอดีก็เชื่อว่ามันไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ ไม่ต้องนอยด์ แต่อย่าเสพติด ก็เท่านั้นเอง
สุดท้ายสิ่งที่เราอยากฝากไว้ก็คือ ให้ใช้มือถือกันแต่พอดีๆ แล้วใช้เวลาไปกับสิ่งอื่นๆ รอบตัวกันบ้างนี่แหละดีสุดแล้วล่ะ