6 ไอเดียแต่งบ้านเปลี่ยนมุมพักให้เฮลตี้ สไตล์คนรักสุขภาพ

ในช่วงต้นปีแบบนี้ หลายคนมีแพลนจะซื้อบ้าน ซื้อคอนโด หรือบางคนก็ซื้อไปแล้ว แต่ยังไม่มีไอเดียจะแต่งบ้านยังไงให้ดูดี ดูเหมาะกับไลฟ์สไตล์ ซึ่งถ้าคุณเป็นอีกคนที่เป็นสายเฮลตี้ สายรักสุขภาพอยู่แล้ว มาตามอ่านกันทางนี้ เพราะเรามี 6 ไอเดียแต่งบ้านสายเฮลตี้ต้องตามอ่าน

 

1. คุณภาพอากาศภายในบ้านเป็นสิ่งสำคัญ

คุณภาพอากาศภายในบ้านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ลดโอกาสสูดฝุ่น PM2.5 หรืออากาศพิษจากโรงงาน หรือเขตก่อสร้างใกล้เคียง ที่อาจทำให้เราเป็นมะเร็งปอด ภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ หากอากาศข้างนอกแย่แล้ว ข้างในบ้านก็ยังแย่ คงไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยสำหรับเราอีกต่อไป แนะนำให้ทำตามนี้ดู
  • ซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มี HEPA Filter ที่ช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ละอองเกสร เชื้อไวรัส เชื้อโรคอื่นๆ และสารก่อภูมิแพ้ เป็นไอเทมที่คนที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจต้องมี ซึ่งเกรดของ HEPA Filter จะแยกได้ 5 เกรด คือ 
    • E10 HEPA Filter เกรดต่ำสุด กรองฝุ่นได้ 85% 
    • E11 HEPA Filter กรองฝุ่นได้ 95% 
    • H12 HEPA Filter กรองฝุ่นได้ 99.5% 
    • H13 HEPA Filter กรองฝุ่นได้ 99.95% 
    • เกรดสูงสุด H14 HEPA Filter กรองฝุ่นได้ 99.995%
  • ติดตั้งหน้าต่างให้กระแสอากาศไหลเวียนดี วางหน้าต่างไว้อยู่ในทิศทางที่ลมเข้า ถ้าติดหน้าต่างด้านข้างบ้าน แล้วข้างบ้านเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ให้เลือกหน้าต่างที่ใหญ่ขึ้นหน่อย ติดหน้าต่างสองบ้านที่อยู่ด้านตรงข้ามกันเพื่อให้อากาศไหลออกได้ง่าย และเลือกชนิดที่ให้อากาศไหลเวียนดี เช่น หน้าต่างบานเลื่อน หน้าต่างบานเปิด แบบกันสาด หรือหน้าต่างบานกระทุ้ง
  • เลือกสีทาบ้านที่เป็น low-VOC หรือปลอด VOC หรือสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compounds) เป็นสายระเหยที่ปล่อยออกมาจากสีทาบ้านในอุณหภูมิห้อง สลายตัวช้า และอยู่ในอากาศได้นาน ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองตา แสบตา แสบจมูก ลำคอ หายในลำบาก ปวดหัว เวียนหัว เหนื่อยง่าย และยังเป็นสารก่อมะเร็งด้วย
  • ปลูกต้นไม้กรองอากาศ นอกจากจะช่วยกรองอากาศภายในบ้านได้แล้ว สีเขียวจากใบยังช่วยให้เราสงบ แถมยังเป็นของตกแต่งภายในบ้านได้ด้วย ต้นไม้ที่แนะนำ คือ ปาล์มไผ่ ลิ้นมังกร มอนสเตอร่า เฟิร์นบอสตัน, Selloum Philodendron, ไอวี่ อังกฤษ ต้นยางอินเดีย ดอกเดหลี และลาเวนเดอร์
 

2. เน้นแสงธรรมชาติ


มีงานวิจัยออกมาว่าแสงธรรมชาติมีผลต่อความรู้สึก สุขภาพจิต และรูปแบบการรับรู้ของเรา และยังช่วยประหยัดพลังงานในยุคที่ค่าไฟแพงเท่าค่าข้าวได้ด้วย โดยหลักการเพิ่มแสงธรรมชาติในบ้านของเราสามารถติดตั้งชิ้นส่วนได้ ดังนี้ 
  • หน้าต่าง เรื่องนี้จะต้องให้สถาปนิกเข้ามาช่วยดูด้วย โดยสังเกตจากทิศทางการขึ้น-ตกของพระอาทิตย์ เช่น การติดหน้าต่างหันไปทางทิศเหนือ เพราะทิศเหนือเป็นแสงแดดที่อ่อนกว่า และไม่ร้อน เหมาะสำหรับห้องทำงาน หรือห้องนั่งเล่น แต่ถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกจะได้รับแสงตอนเช้าเต็มที่ ซึ่งจะเหมาะกับห้องนอนที่ต้องการให้ตื่นไปทำงาน เป็นต้น
  • ช่องแสง Skylight โดยติดไว้ตามโถงทางเดินภายในบ้านที่แคบและมืด ห้องนั่งเล่นหรือพื้นที่ส่วนร่วมภายในบ้าน แต่โซนนี้แนะนำให้คุมปริมาณแสง ทิศทางแสงที่ตกกระทบ รวมถึงวัสดุปูกระเบื้อง เพื่อป้องกันไม่ให้แสงจ้าเกินไป ทำให้รู้สึกร้อนและแสบตาได้ โถงบันได ห้องครัวหรือชานครัว ห้องทานอาหาร ห้องน้ำ ห้องนอน โดยเฉพาะห้องทำงานที่อยู่แยกจากห้องนอนที่ควรเพิ่มแสงในปริมาณเยอะๆ เพื่อเพิ่มความ Productive หรือถ้าใครเป็นบ้านทรงจีนโบราณ หรือทาวเฮ้าส์ที่มีโถงกลางบ้านอยู่แล้ว สามารถดัดแปลงพื้นที่โดยรอบเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณแสงบริเวณบ้านได้
  • การใช้สีหรือพื้นผิวสะท้อนแสงที่ช่วยกระจายปริมาณแสงให้เข้าไปตามมุมมืดของบ้าน เช่น การใช้สีอ่อนทาเพดานหรือผนัง
  • การปลูกต้นไม้ใหญ่สามารถลดปริมาณแสงที่มากเกินไปในช่วงหน้าร้อน และเพิ่มความเย็นให้กับตัวบ้านได้ เลือกปลูกต้นไม้ที่ไม่สูงจนเกินไปป้องกันไม่ให้ยอดไม้บังแสงจนหมด
  • สำหรับห้องนอนที่ควรลดปริมาณแสงอย่างยิ่ง ควรติดม่านตัดแสงไว้ด้วย เพื่อให้การนอนหลับเต็มอิ่มมากขึ้น


 

3. จัดบ้านให้เป็นระเบียบ

เราเคยพูดถึงเรื่องจิตวิทยาการจัดบ้านไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ว่าการมีของที่รกในบ้านส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจเจ้าบ้าน ถ้ารู้ว่าบ้านรก พยายามจัดบ้านให้เป็นระเบียบมากขึ้น อะไรที่ไม่ควรอยู่ก็จัดเก็บให้อยู่ในที่ของมัน อ่านจิตวิทยาการจัดบ้านที่นี่ >> https://www.healthaddict.com/content/mind_explore/psychology-of-house-tidying 
 

4. เพราะหัวใจคือ “ห้องครัว”

ห้องครัวเป็นจุดกำเนิดอาหาร และอาหารคือหนึ่งในสิ่งที่เราเอาเข้าร่างกายทุกวัน ฉะนั้น ความสะอาดและความเรียบร้อยของห้องครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้คุณภาพอากาศ โดยแนะนำให้ปรับปรุงห้องครัวตามนี้
 
  • ใช้อุปกรณ์ทำอาหารที่ปลอดสารพิษ จำพวก ตะกั่ว polytetrafluoroethylene (PTFE), perfluorooctanoic acid (PFOA) ที่มักพบในกระทะเทฟลอน แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่ทำจากเหล็กหล่อ สเตนเลส หรือเหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon steel) แทน
  • เก็บอาหารในภาชนะแก้ว เพราะในกระบวนการหล่อแก้ว จะไม่มีการใช้สารเคมีในการผลิต ทำให้การรั่วไหลของสารเคมีมาปนกับภาชนะน้อยมากถึงไม่มีเลย และการใช้กล่องแก้วไม่ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารจนเสียรสชาติ หรืออาหารบูดด้วย
  • ติดระบบกรองน้ำ อันนี้หลายบ้านน่าจะติดไว้อยู่แล้ว เพราะน้ำประปาบ้านเรามันดื่มไม่ได้ ซึ่งถือว่าดี เพราะช่วยกรองเศษฝุ่น เศษสนิม ดินโคลน กลิ่นโคลนที่ปนมากับน้ำประปาได้
  • ปลูกพืชสมุนไพรในกระถางเล็กๆ ริมหน้าต่างห้องครัว (ถ้ามีที่เหลืออ่ะนะ) เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มสีเขียวในพื้นที่ห้องครัว ยังเป็นการกระตุ้นให้เราเห็นพืชพวกนี้บ่อยๆ และหยิบมาประกอบอาหารได้ เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงแบบอ้อมๆ
  • ถ้ายังมีงบเหลือ ติดปล่องดูดควันไว้ด้วย ถึงแม้หลายๆ บ้านจะทำผนังห้องครัวเป็นแบบฉลุแล้ว แต่บางทีแค่นี้อาจจะยังไม่เปิดโล่งมากพอให้ควันลอยออกไปได้ การติดเครื่องดูดควันจะช่วยลดการสะสมควัน และลดกลิ่นได้เร็ว ไม่ให้เราต้องยืนจมควันอยู่แบบนั้น
 

5. เสียงรบกวน ตัดได้ตัด!

บ้านบางหลังบางทีก็ไม่เก็บเสียง ยิ่งเป็นบ้านแฝด หรือทาวเฮ้าส์ยิ่งแล้วใหญ่ แค่ข้างบ้านปิดประตูก็ได้ยินแล้ว ตอนกลางคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว
 
  • ติดที่อุดขอบหน้าต่าง และขอบบานประตูที่หันหน้าไปทางถนนด้วยวัสดุ Soundproof เช่น หรือถ้าข้างบ้านเสียงดังด้วยก็ติดมันให้รอบบ้านไปเลย
  • ติดกระจกสองชั้น หรือสามชั้น ซึ่งประกอบจากกระจกหลายๆ ชั้นวางทาบกัน ทำให้เกิดช่องว่างอากาศระหว่างกระจก นอกจากช่วยลดเสียงรบกวนได้แล้ว ยังป้องกันความร้อนได้ดีกว่าคนทั่วไป และยังประหยัดพลังงานไม่ต้องเปิดแอร์สู้ด้วย
  • อุดฐานบัวพื้น ผนังบ้านด้วยวัสดุกันเสียง เช่น acoustic caulk หรือ acoustic plasterboard
  • ติดผ้าม่านกันเสียง
  • ถ้าบ้านไม่สามารถรีโนเวทหรือติดตั้งเพิ่มเติมตอนสร้างได้แล้ว สามารถติดแผ่นซับเสียงไว้ที่ผนังบ้านได้เลย แม้จะช่วยลดเสียงไม่ได้มาก แต่ก็ทำให้เบาลงได้ประมาณประกอบ


6. เรื่องการนอนสำคัญมาก อย่าให้ขาด

คอนเซปต์ของห้องนอน คือ ‘ห้องที่เอาไว้พักผ่อน’ อะไรก็ตามที่เป็นการผ่อนคลาย เอามารวมเอาไว้ที่ห้องนี้ให้หมด และสิ่งอำนวยความสะดวกควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้พักผ่อนจริงๆ โดยเริ่มจาก
  • สีและโทนห้องต้องเป็นความอบอุ่น ผ่อนคลาย แนะนำสีเบจ น้ำตาลอ่อน หรือสีพาสเทลที่ช่วยในเรื่องของการผ่อนคลาย และช่วยให้พื้นที่ดูกว้างขวางขึ้นด้วย สำหรับใครที่ไม่อยากทาสีห้องใหม่ทั้งหมด หรืออยู่บ้านเช่า สามารถเปลี่ยนสีเฟอร์นิเจอร์หรือผ้าม่านที่ใช้อยู่ได้
  • จัดห้องให้เป็นระเบียบ ยิ่งห้องนอนรกเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ช่วงเวลาก่อนนอนเราว้าวุ่นมากเท่านั้น และหากห้องนอนใครมีพรมด้วย เลือกขนาดที่ใหญ่เกินไปจนดูเต็มพื้น เลือกขนาดที่ดูพอดี ติดตั้งตู้ลิ้นชักใต้เตียง หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ใช้งานได้หลากหลายในพื้นที่แคบๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ของห้องนอน
  • แสง และเสียงเป็นเรื่องสำคัญ ห้องนอนที่ดีต้องมีระดับเสียงและแสงอยู่ในระดับต่ำเพื่อให้นอนได้อย่างเต็มอิ่มในช่วงเวลากลางคืน และอย่างที่แนะนำไปข้างต้น เราสามารถหาวัสดุดูดซับเสียง หรือกันแสงได้ตามเว็บไซต์ต่างๆ 
  • กลิ่นและอุณหภูมิห้องก็สำคัญไม่แพ้กัน มีงานวิจัยหลายงานที่บอกว่ากลิ่นส่งผลต่อคุณภาพการนอนอย่างมาก โดยเฉพาะกลิ่นลาเวนเดอร์ คาโมมายด์ หรือดอกกระดังงาที่เป็นตัวช่วยอย่างมาก ส่วนอุณหภูมิ ทางการแพทย์แนะนำอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการนอนคือ 15.6 – 22 องศา
  • คุณภาพการนอน อย่าลืมวางเครื่องกรองอากาศไว้ในห้องนอนเพื่อลดอาการคัดจมูกหรือภูมิแพ้ก่อนนอน รวมไปถึงการติดตั้งระบบการไหลเวียนอากาศ หรือสเปรย์ปรับอากาศเพื่อลดการเกิดเชื้อราในห้องนอน
  • อย่าลืมดูฟูกเตียง หมอน ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ฟูกที่ดีต้องรองรับสรีระร่างกายของเราตอนนอนได้ดี ไม่ปวดคอ ปวดหลัง ซึ่งรวมไปถึงหมอนหนุนด้วยที่ไม่ทำให้ตื่นมาแล้วคอเคล็ด ส่วนผ้าปูเตียง และผ้าห่มก็หมั่นซักบ่อยๆ หรือเป็นแบบที่ซักง่าย ไม่อมความชื้น เพื่อลดการเกิดกลิ่น และเชื้อรา

การแต่งบ้านฉบับสายเฮลตี้ไม่ใช่แค่ทำบ้านให้ดูสวย ดูดี แต่ยังต้องแต่งบ้านโดยคำนึงถึงการส่งเสริมสุขภาพกาย ใจของเจ้าของบ้านด้วย เริ่มตั้งแต่การปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในบ้าน ปริมาณแสง การปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะโซนห้องครัว และห้องนอนที่เป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้ชีวิตในบ้านมีสุขภาพดีไปพร้อมๆ กัน
-->