ทำไมผู้หญิงสวยและฉลาด มัก “เป็นโสด”

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมเพื่อนสาวสุดเพอร์เฟ็คต์ จึงครองสถานะโสดนานกว่าคนอื่นๆ 

ทั้งๆ ที่พวกเธอทั้งสวย ฉลาด มีความคิด จิตใจดี แถมทำงานและทำเงินเก่ง ซึ่งน่าจะดึงดูดให้มีคนเข้าหาเธอมากขึ้น ทว่าพวกเธอกลับเลือกที่จะอยู่คนเดียว นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยสำนักงานสถิติแรงงานแห่งสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยว่าสัดส่วนของสาวโสดมีมากถึง 50.2% หรือประมาณ 124.6 ล้านคน

เหตุที่พวกเธอโสด ไม่ใช่ไม่มีใครเอา แต่มันเป็นสิ่งที่เธอ "เลือก" ว่าดีต่อตัวพวกเธอต่างหาก... งั้นมาดูกันหน่อยซิ ว่าทำไมพวกเธอเลือกที่จะเป็นโสด


Photo by Atikh Bana on Unsplash
• พวกเธอรักอิสระ
การต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศได้เปลี่ยนโลก สังคมเปิดกว้างและยอมรับความสามารถของผู้หญิงมากขึ้น  สาวๆ หลายคนมีหน้าที่การงานและรายได้ดีกว่าผู้ชาย ทำให้พวกเธอสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง รักอิสระและเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้น พวกเธอก็ไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือหรือต้องมีผู้ชายไว้ในบ้านเพื่อทำงานหรือเพื่อความปลอดภัย เพราะสามารถเรียกใช้บริการต่างๆ ได้ ซึ่งบริการเหล่านี้เขาทำด้วยความเต็มใจและน่าจะเร็วกว่ารอให้แฟนมาแก้ปัญหา
 
• พวกเธออยากให้เวลากับตัวเองและสิ่งที่ตัวเองรัก
ผู้หญิงก็เหนื่อยจากการทำงานนอกบ้านไม่ต่างจากผู้ชาย เมื่อพวกเธอมีเวลาว่างก็อยากจะใช้ไปกับการสร้างความสุขและปรนเปรอตัวเองแทนที่จะเหนื่อยกายและเหนื่อยใจไปกับใครอีกคน... พวกเธอมองว่าการไปสปา เข้าคลินิกเสริมความงาม ไปช้อปปิ้ง หรือเทคคอร์สเพื่อพัฒนาตัวเอง ดีกว่าการปรนนิบัติสามีรวมถึงสมาชิกร่วมบ้านคนอื่นๆ
 
• พวกเธอมาตรฐานสูง
จะไม่ให้สูงได้ยังไง นอกจากทุ่มเทไปกับปริญญาอย่างน้อย 2 ใบ ผลักดันตัวเองจนได้ทำงานตำแหน่งดีๆ พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งยังดูแลรูปร่างและภาพลักษณ์ภายนอกให้สวยงามตามแบบฉบับของแต่ละคน คงไม่มีสาวๆ คนไหนอยากมีชีวิตแย่ลงเพราะผู้ชายที่ไม่ผ่านมาตรฐานของพวกเธอ... ความสัมพันธ์ก็เหมือนการลงทุนนั่นแหละ เราย่อมอยากลงทุนในสิ่งที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ความสัมพันธ์ไหนที่ไม่คุ้มค่า สู้อยู่เป็นโสดยังดีซะกว่า จริงมั้ย
 
• พวกเธอไม่เชื่อว่าความรักแบบเทพนิยายมีอยู่จริง
สังคมบริโภคนิยมในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น และในความซับซ้อนนี่เอง ผู้หญิงก็สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้แบบไม่ต้องพึ่งพิงใคร พวกเธอสามารถยืนได้ด้วยตัวเองและคิดว่าชีวิตโสดก็ดีอยู่แล้ว เมื่อบวกกับเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งทำให้พวกเธอเชื่อเรื่องความรักแบบเทพนิยายน้อยลง รวมถึงระดับความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความรักและความซื่อสัตย์จากเพศตรงข้ามก็น้อยลงไปด้วย... การมีความรักสำหรับพวกเธอกลายเป็นความเสี่ยง สู้เอาเวลาไปทุ่มให้กับการทำงาน ครอบครัว และความเจริญก้าวหน้าอื่นๆ ในชีวิตน่าจะดีกว่า
 
• พวกเธอมีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าเมื่อได้อยู่คนเดียว
ผู้หญิงไม่ใช่เพศที่อ่อนแออีกต่อไป เมื่อการปิดกั้นและการกีดกันต่างๆ หมดไป แทนที่ด้วยโอกาสต่างๆ ให้พวกเธอได้ไขว่คว้า ผู้หญิงในปัจจุบันจึงมีโอกาสได้รับการศึกษาไม่ต่างจากเพศชาย สิ่งเหล่านี้ส่งผลในทางจิตวิทยาด้วยเหมือนกัน คือทำให้ผู้หญิงในปัจจุบันไม่กลัวที่จะอยู่ตัวคนเดียว มีความมั่นคงทางอารมณ์ที่สามารถอดทนต่อความเครียดและสิ่งเร้าต่างๆ ได้ดีกว่า... การรอคอยที่จะพบคนที่คู่ควรกับพวกเธอจริงๆ จึงดีกว่าการอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รักและเคารพในตัวตนของเธอ
 
• การแต่งงานไม่ใช่เป้าหมายของความสัมพันธ์เสมอไป
คำว่า LGBTIQ อาจจะแคบเกินไปหากจะใช้ระบุอัตลักษณ์ทางเพศของผู้คนในปัจจุบัน และการแต่งงานก็ไม่ใช่ปลายทางของความสัมพันธ์... ผู้หญิงในปัจจุบันสามารถใช้ชีวิตและมีรูปแบบของความสัมพันธ์อย่างที่ตัวเองพอใจ ไม่ว่าเธอจะคบใคร รสนิยมทางเพศเป็นแบบไหน รูปแบบความสัมพันธ์เป็นแบบใด ที่สำคัญพวกเธอมองว่าการแต่งงานไม่ได้การันตีความสุขในการใช้ชีวิต และเราเองก็ควรเคารพในตัวตนของคนอื่นด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเหมือนหรือต่างจากเรามากขนาดไหนก็ตาม
 
• ผู้ชายป๊อดเกินกว่าจะเข้าหาผู้หญิงที่สวยและฉลาด
เมื่อผู้ชายเห็นผู้หญิงสวย ฉลาด และพึ่งพาตัวเองได้ ความกระตือรือร้นในการเข้าหาสาวๆ เหล่านั้นจะลดน้อยลง เพราะหนุ่มๆ มักคิดว่าผู้หญิงเจ๋งๆ ตรงหน้าจะโสดได้ยังไง เมื่อมีแนวโน้มว่าจะถูกปฏิเสธ หนุ่มๆ มักเลือกที่จะไม่เข้าหา... อีกอย่าง ผู้หญิงแบบพวกเธอก็คงไม่เข้าหาใครก่อนอยู่แล้ว
 
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจมีความคิดว่าผู้หญิงกลุ่มนี้อีโก้สูง แต่อยากให้มองอีกมุม... ในเมื่อคุณฉลาดและรู้จักตัวเอง รู้ความต้องการของตัวเอง รู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ดีต่อตัวเองคืออะไร คุณจะยอมแลกเวลาอันมีค่ากับคนที่ไม่คู่ควรทำไมล่ะ จริงมั้ย


 
-->