Granny's purse syndrome จากยารักษา สู่ยาพิษในมือหลาน
บ้านไหนที่มีเด็กเล็กๆ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กซะหมด ไม่เว้นแม้แต่ในกระเป๋าของคุณย่า/ยายก็ตาม ที่มีเหตุมาจากความซนของเด็กๆเปิดที่มา Granny’s purse syndrome ทำไมถึงได้ชื่อนี้
หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Granny syndrome จากหัวเรื่องที่เราเกริ่นไปข้างต้น สาเหตุหลักๆ มาจากที่ว่า เวลาที่พ่อแม่มือใหม่มีลูกเล็ก ก็จะชอบพาลูกๆ ไปเยี่ยมปู่ ย่า ตา ยายที่บ้าน หรือยางทีพวกเขาก็มาหาที่บ้านบ้าง ซึ่งแน่นอน คนสูงอายุก็จะต้องมียาประจำติดตัวเอาไว้เสมอ เผื่อเวลาไปกินข้าวนอกบ้านตัวเองจะได้กินยาก่อน-หลังอาหารทีนี้เรื่องมันก็เกิดขึ้นตรงที่ ผู้สูงอายุมักเก็บยาไว้ในถุงซิปล็อกของร้านขายยาทั่วไป ที่เปิดง่าย หรือดีหน่อยก็เก็บไว้ในตลับยาประจำวัน แล้วใส่เอาไว้ในกระเป๋าถือ แล้วก็วางไว้แถวๆ นั้น หรือบางทีก็วางซองยาเอาไว้ตรงนั้นเลย พอเด็กเล็กเห็นตายายกินยาเม็ดแล้วเขาก็จะสงสัยว่า เม็ดนี้มันกินได้มั้ยนะ เห็นคุณตายายกินก็อยากกินบ้าง ถึงแม้จะขอคุณตายายแล้วเขาไม่ให้ก็ตาม เด็กก็จะไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบมากินอยู่ดี คราวนี้แหละเป็นเรื่อง เพราะยาที่รักษาผู้สูงอายุบางครั้งก็เป็นยาแรงที่รักษาโรคเรื้อรัง หรือเป็นยาโดสสูงที่เด็กไม่ควรกิน
จากผลการสำรวจของ Long Island Regional Poison and Drug Information Center เมื่อปี 2006 ระบุว่า มีเด็กกว่า 2 ใน 10 คนในสหรัฐฯ ต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องมาจากภาวะเป็นพิษจากการกินยาของผู้สูงอายุ และอายุเฉลี่ยของเด็กที่ได้รับสารพิษคือ 1 ขวบครึ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกสถานการณ์ที่เกิดจากการที่เด็กกินยาผู้ใหญ่ว่า Granny’s purse syndrome นั่นเอง โดยยาที่เด็กๆ รับเข้าไปมากที่สุดคือ
1. ยาหัวใจและหลอดเลือด 45%
2. ยาแก้ปวด 42%
3. ยาจิตเวช 16%
2. ยาแก้ปวด 42%
3. ยาจิตเวช 16%
นอกจากนี้ Dr. Maryann Amirshahi ศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Georgetown และผู้อำนวยการร่วม National Capital Poison Center ยังบอกว่า ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะอยู่บ้านแยกกับลูกหลาน อยู่คนเดียว อยู่กับคู่ชีวิตบ้าง ก็เลยไม่มีเด็กอยู่ที่บ้าน จะวางยาไว้ตรงไหนก็ได้ หรือบางทีก็ลืมยาเอาไว้บ้าง หายาไม่เจอบ้าง เวลาเด็กมาหาที่บ้านพอเจอเม็ดยาเหล่านี้ก็จะเข้าใจว่าเป็นขนมแล้วเอาเข้าปากเลย
ถ้าตามต่างประเทศจะให้ยามาเป็นขวดสีชา (แบบที่เราเห็นในหนัง ที่ตัวละครจะเปิดตู้ยาตรงอ่างล้างหน้า) ซึ่งจะเป็นขวดที่ฝาปิดเป็นแบบ Child-resistant cap ที่ต้องกดตรงกลางก่อนแล้วค่อยบิดถึงจะเปิดได้ โดยในไทยส่วนมากจะพบเป็นขวดวิตามินอาหารเสริมมากกว่าขวดใส่ยา แต่ส่วนมากแล้วคนสูงอายุของต่างประเทศก็ไม่ค่อยขอเภสัชให้จ่ายยาเป็นแบบฝา child-resistant เพราะจะได้เปิดขวดได้ง่ายขึ้น
หน้าตาของ Child-resistant cap ฝากระปุกยาป้องกันเด็กเปิดเล่นที่ต้องกดและหมุนเพื่อเปิด พบได้มากในขวดอาหารเสริมวิตามิน
หยุดอันตรายทั้งหมด เริ่มได้ที่ตัวเรา
1. เก็บยาทุกอย่างล็อกไว้ในตู้ยาที่อยู่สูง หรือถ้าไม่มีเก็บในลิ้นชักที่ล็อกได้ และจำด้วยว่าเก็บกุญแจไว้ที่ไหน
2. อย่าวางยาทิ้งไว้บนโต๊ะ หรือเคาน์เตอร์ (รวมถึงยาเด็ก และวิตามินเสริมอื่นๆ ด้วย เพราะยาพวกนี้ออกแบบมาให้มีรสหวานถูกปากเด็ก ป้องกันไม่ให้เด็กหยิบกินเพลินจนเกิด Overdose)
3. อย่าเก็บยาไว้ในกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย หรือเป้ วางไว้ในที่ที่เด็กหยิบได้
4. เวลาพาเด็กไปพบคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญาติเรา หมั่นสอดส่องเสมอว่าเด็กหยิบจับอะไรแปลกๆ เข้าปากไหม
5. อย่าบอกเด็กว่า ‘ยา’ ก็คือ ‘ขนม’ หรืออย่าพูดอะไรก็ตามที่ทำให้เด็กคิดว่ายาคือขนมสำหรับผู้ใหญ่
6. ตื่นตัวเสมอเมื่อเห็นว่ายาไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ต่อให้ตัวเองเก็บยาผิดที่ก็ตาม
7. ถ้ามีงบมากขึ้นหน่อย ซื้อขวดสำหรับใส่ยาพร้อมแปะชื่อยา ข้อมูลต่างๆ ลงในฉลาก และหาซื้อฝาผิดแบบกันเด็กเปิดมาปิด
2. อย่าวางยาทิ้งไว้บนโต๊ะ หรือเคาน์เตอร์ (รวมถึงยาเด็ก และวิตามินเสริมอื่นๆ ด้วย เพราะยาพวกนี้ออกแบบมาให้มีรสหวานถูกปากเด็ก ป้องกันไม่ให้เด็กหยิบกินเพลินจนเกิด Overdose)
3. อย่าเก็บยาไว้ในกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย หรือเป้ วางไว้ในที่ที่เด็กหยิบได้
4. เวลาพาเด็กไปพบคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญาติเรา หมั่นสอดส่องเสมอว่าเด็กหยิบจับอะไรแปลกๆ เข้าปากไหม
5. อย่าบอกเด็กว่า ‘ยา’ ก็คือ ‘ขนม’ หรืออย่าพูดอะไรก็ตามที่ทำให้เด็กคิดว่ายาคือขนมสำหรับผู้ใหญ่
6. ตื่นตัวเสมอเมื่อเห็นว่ายาไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ต่อให้ตัวเองเก็บยาผิดที่ก็ตาม
7. ถ้ามีงบมากขึ้นหน่อย ซื้อขวดสำหรับใส่ยาพร้อมแปะชื่อยา ข้อมูลต่างๆ ลงในฉลาก และหาซื้อฝาผิดแบบกันเด็กเปิดมาปิด
เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเด็กมันห้ามกันไม่ได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดเริ่มจากผู้ใหญ่เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาของผู้สูงอายุที่เด็กมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นขนม ซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ Granny’s Purse Syndrome ได้ นี่จึงเป็นการเตือนให้ผู้ใหญ่ตระหนักว่า ความสะดวกของเราอาจกลายเป็นความเสี่ยงสำหรับเด็กๆ โดยไม่รู้ตัว
อ้างอิงงานวิจัย
(1) https://www.researchgate.net/publication/6875947_Hang_Up_Your_Pocketbook_--_an_easy_intervention_for_the_granny_syndrome_grandparents_as_a_risk_factor_in_unintentional_pediatric_exposures_to_pharmaceuticals
อ้างอิง
https://www.consumermedsafety.org/safety-articles/the-granny-syndrome-accidental-poisonings-in-children
https://www.parents.com/what-is-grannys-purse-syndrome-8758835
https://themomentum.co/familytips-granny-purse-syndrome/