“กฎแรงดึงดูด” ใช้ยังไงให้ได้สิ่งที่ตามหา
แรงดึงดูด ในทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรามีที่ยืนบนพื้นโลก ไม่ลอยไปลอยมาเหมือนถุงพลาสติกที่โดนลม และเช่นกันในทางจิตวิทยา กฎแรงดึงดูดก็คอยทำหน้าที่ดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาหาเราทั้งสิ่งของ ความฝัน และแม้แต่ความรัก ผ่านสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “ความปรารถนา”กฎแรงดึงดูด ทำงานยังไง?
ถ้าจะตีความหมายของกฎแรงดึงดูดแบบให้เข้าใจง่ายๆ เลย ก็คงอารมณ์ประมาณว่า “คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น” แหละ แต่ถ้าเอาแบบยาวๆ ก็หมายถึง “พลังแห่งความคิดที่คอยควบคุมชีวิตและประสบการณ์ต่างๆ ของเราให้เป็นไปตามสิ่งที่เราอยากให้เป็น” นั่นก็หมายความว่า ถ้าเราคิดอะไรดีๆ สิ่งดีๆ เหล่านั้นก็จะวิ่งเข้ามาหาเราเอง ซึ่งพลังเร้นลับนี้ทรงพลังมาก แม้แต่ Max Planck บิดาสาขาควอนตัมฟิสิกส์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ถึงกับเชื่ออย่างสุดใจว่า จิตสำนึกของเราเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ้นสุด เป็นสิ่งที่ทรงพลังและมีความสามารถในการควบคุม สร้างอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว และช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเราได้ (หรืออาจดลบันดาลให้เป็นจริงก็ได้)
แม้จะฟังดูเป็นความเชื่อมากกว่าหลักการวิทยาศาสตร์ แต่ก็พอจะมีเค้าโครงทางวิทยาศาสตร์ปนอยู่บ้าง (แถมดันมีงานวิจัยหลายชิ้นตีพิมพ์ออกมาเป็นตัวเป็นตนด้วย)
โดยงานวิจัยในปี 2021 ที่รีวิวงานวิจัยอื่นๆ ในระดับ Meta-analysis ที่เขาสงสัยว่าการสวดมนต์ส่งผลต่อการลดความเจ็บปวดได้ไหม ซึ่งผลลัพธ์ก็ปรากฏว่า คนที่สวดมนต์หรือเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา เช่น การทำสมาธิเป็นประจำ จะสามารถทนเจ็บและยอมรับความเจ็บปวดได้มากกว่าคนที่สวดมนต์น้อยหรือไม่เคยสวดมนต์เลย
หรืออีกงานวิจัยนึงที่ทำการทดลองสุ่มผู้หญิงที่มีภาวะมีลูกยาก 219 คนมาสวดมนต์เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้สวดมนต์ ผลปรากฏว่า ผู้หญิงที่สวดมนต์มีอัตราการตั้งท้องสูงกว่าอีกกลุ่มที่ไม่ได้สวดมนต์มากถึง 2 เท่า!
พออ่านดูแบบนี้ก็น่าเหลือเชื่อเหมือนกัน งั้นถ้าเราอยากได้แฟนดีๆ สักคน ขอวันนี้ พรุ่งนี้ก็ได้เลยใช่มั๊ย? คำตอบคือ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ เพราะกฎแรงดึงดูดมันมีหลักการในตัวเองอยู่และค่อนข้างใช้เวลา ซึ่งแบ่งออกได้ 3 หลักดังนี้
- สิ่งที่คล้ายกันจะดึงดูดสิ่งที่คล้ายกัน เคยสังเกตไหมว่าทำไมหรืออะไรดลบันดาลให้เราคบกับเพื่อนหรือแฟนคนนี้ สาเหตุก็มาจากสิ่งนี้แหละ เพราะคนที่มีความคิดแบบเดียวกันย่อมดึงดูดซึ่งกันและกัน ใครที่คิดบวกก็จะได้เพื่อนดีๆ ส่วนใครที่คิดลบก็อาจเจอเพื่อนหรือแฟนแย่ๆ มาแทน หรือกรณีที่อยากได้เฟอร์รารี่แพงๆ มาซักคัน ก็อาจเริ่มจากคิดแบบ ‘คนรวยๆ’ ก่อน
- กฎแรงดึงดูดเป็นเหมือนของไหล ให้ลองคิดว่าสมองของเราเป็นเหมือนแอ่งน้ำ น้ำแทนสิ่งดีๆ ในชีวิต ส่วนดินโคลนเป็นเหมือนสิ่งเลวร้าย ทันทีที่เราตักโคลนออกจากแอ่งน้ำ สิ่งแย่ๆ ก็จะถูกยกออกไปด้วย น้ำก็จะไหลเข้ามาเติมเต็มพื้นที่ว่างนั้น ช่วยให้เราคิดถึงแต่สิ่งดีๆ มากขึ้น
- ปัจจุบันสมบูรณ์แบบเสมอ ‘ปัจจุบัน’ คือสิ่งที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่าเรายังอยู่ตรงนี้ ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต หรือล่วงรู้อนาคตได้ เราทำได้เพียงทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่ไหว แล้วชีวิตก็จะดึงดูดอนาคตที่สดใสมาให้เราเอง
ใช้กฎแรงดึงดูดยังไงให้ได้สิ่งที่ต้องการ
จากที่อ่านๆ มาข้างบนก็น่าจะพอคลำทางได้แล้วว่า ไม่ใช่การคิดถึงสิ่งใดแล้วจะได้สิ่งนั้นโดยทันที แต่การใช้กฎแรงดึงดูดคือการฝึกตัวเองให้คิดบวกเพื่อเตรียมพร้อมรับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตซะมากกว่า ซึ่งเราสามารถเอามาแยกใช้กับเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้อย่างนี้
1. ความสัมพันธ์
ไม่ว่ารูปแบบไหนก็ตาม เพื่อนหรือความรัก หากอยากได้ความสัมพันธ์ที่ดี ก็จงเป็นความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเสียก่อน ลองทำตัวน่ารักๆ ฝึกคิดแง่บวก เห็นคุณค่าในตัวเองให้มากขึ้น และเอื้อเฟื้อต่อคนรอบตัววันละเล็กละน้อย คิดอะไรดีๆ คนดีๆ ก็จะเชื่อมเข้าหาเราได้เหมือนกัน
2. ความเป็นอยู่ดีขึ้น
ถ้าคุ้นเคยกับวลี “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” มาแล้ว เรื่องนี้ก็ใช้เทคนิคใกล้เคียงกัน หากเรามีทัศนคติต่อโลกนี้ดีขึ้น คิดบวกต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว รู้สึกจิตวิญญาณภายในได้รับการเติมเต็ม หรือรู้สึกเชื่อมต่อกับผู้คนรอบตัว จะช่วยให้ร่างกายเครียดน้อยลง และสุขภาพโดยรวมดีขึ้น
3. ประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมา
ถ้าเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาก่อน มีหลายเล่มมากที่แนะนำให้ลองเปลี่ยนมุมมอง ความคิดด้านการเงิน จากที่ปกติเราจะคิดว่า “อยากได้เงินจัง” ความคิดแบบนี้ก็จะไม่นำพาเงินทองมาให้ เพราะส่วนหนึ่งในจิตใจบอกเราว่า “อยากได้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง?” แต่ถ้าลองเปลี่ยนมาคิดว่า “เดี๋ยวก็หาเงินใหม่ได้ แป๊บเดียว” วิธีคิดแบบนี้จะกระตุ้นให้เราลองหาลู่ทางทำเงินใหม่ๆ ได้ ทำให้เรารู้สึกมีอิสระทางการเงิน แล้วเงินก็จะมาหาเราเอง
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ยิ่งคุณคิดในแง่บวกเท่าไหร่ หรือเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองมากแค่ไหน สิ่งดีๆ ที่คู่ควรกับคุณก็จะไหลเข้ามาหาคุณมากเท่านั้น แม้จะยังไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับได้อย่างแน่ชัด แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อแล้วลองเอาไปทำตามดูก็ว่าสามารถเปลี่ยนความต้องการให้เป็นจริงได้ ถ้าใครไม่มั่นใจว่าจะทำได้จริงไหม ลองเอาไปทำดูก็ไม่เสียหายนะ
อ้างอิง
https://bit.ly/3RS0ASf
https://bit.ly/48wkpUI