รู้มั้ย? คุณผู้ชาย อาจมี(ไมโคร)พลาสติกในไข่

งานวิจัยพบว่ามี “ไมโครพลาสติก 7 ชนิด ในระบบสืบพันธุ์ของเหล่าผู้ชาย” และยังคงพบอย่างต่อเนื่องในร่างกายมนุษย์ ซึ่ง Sexual Medicine Journal ได้ตีพิมพ์งานวิจัยล่าสุดว่าได้มีการพบเหล่าไมโครพลาสติกในทั้ง อสุจิ อัณฑะ และองคชาต



ไมโครพลาสติก เล็กจิ๋วแบบนี้ แต่ไม่แจ๋ว
ซึ่งเกิดจากพลาสติกใหญ่เมื่อเกิดการสลายตัว ไม่ว่าจะเป็นการย่อยสลายทางเคมี หรือสึกหรอทางกายภาพ เลยกลายเป็น ‘ไมโครพลาสติก’ เป็นชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรไปจนถึงขนาด 1 ไมโครเมตร ซึ่งเล็กจิ๋วมากๆ เลยทำให้แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์อย่างเราๆ ได้อย่างง่ายดาย และก็มีหลักฐานยืนยันจากการวิจัยว่าอนุภาคพลาสติกเล็กๆ เหล่านี้มีอยู่ในร่างกายของเรามากขึ้น

แล้วทำไมพลาสติกจิ๋ว ถึงไปอยู่ในน้องชายได้
เนื่องจากน้องชายเป็นอวัยวะที่มีหลอดเลือดมาก เช่นเดียวกับหัวใจ เลยไม่เป็นที่แปลกใจว่าทำไมถึงพบไมโครพลาสติกในอวัยวะเพศชาย ดร.รันจิธ รามาซามี ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะกล่าว

ผลการศึกษาพบว่ามีไมโครพลาสติก 7 ประเภทอยู่ในเนื้อเยื่อองคชาต 4 ใน 5 ตัวอย่าง คือ PET พลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหาร และขวดพลาสติกมากที่สุด รวมไปถึง PP วัสดุทำฝาขวดพลาสติก ดร.รามาซามี กว่าวว่า จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมวว่าอนุภาคจิ๋วเหล่านี้ ส่งผลต่อปัญหาระบบสืบพันธุ์ เช่น อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศหรือไม่? 

แม้ว่าการศึกษานี้ยังเป็นแค่เบื้องต้น แต่แสดงให้เห็นว่า ไมโครพลาสติก มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง รวมถึงภายในอวัยวะของมนุษย์ ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคและการหายใจ เช่น ชิ้นส่วนเล็ก ๆ จากยางรถยนต์และไมโครไฟเบอร์ในเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้นักวิจัยเคยคิดว่าไมโครพลาสติกจะไม่สามารถผ่านไปได้ทุกส่วน เนื่องจากอวัยวะบางส่วน เช่น สมองและอัณฑะ หรือรก มีเนื้อเยื่อบางส่วนป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมทะลุผ่านเข้าไปได้ แต่ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าพวกมันสามารถเข้าไปในร่างกายของเราได้เกือบทุกส่วน

ผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่าแต่มีไมโครพลาสติกอยู่ในตัวมากกว่าผู้ชายอายุมาก
เนื่องด้วยวิถีชีวิตของคนยุคนี้ ได้บริโภคพลาสติกมากกว่าที่เคย ซึ่งจากการศึกษา มีเพียงผู้้ชายคนเดียวที่ไม่พบไมโครพลาสติกในอวัยวะเพศชายเลย เป็นผู้ชายสูงอายุในคิวบา ที่มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ไม่ได้ใช้พลาสติก หรือรับประทานอาหารในภาชนะพลาสติก รวมไปถึง ไม่ได้ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกอีกด้วย ซึ่งเห็นได้ว่าวิถีชีวิตเร่งรีบแบบคนยุคใหญ่ ในการซื้อน้ำขวดกิน ทานอาหารเวฟในกล่องพลาสติก หรือสั่งอาหารใส่กล่องพลาสติกกลับบ้าน ส่งผลให้ร่างกายเราได้รับไมโครพลาสติก ถ้าเลี่ยงได้ก็ถือว่าลดการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย 

นอกจากนี้ยังมีการวิจัยชิ้นแรก ที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการเสื่อมสมรรถภาพและการใช้พลาสติกมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยอื่นๆ ที่บอกว่า ไมโครพลาสติก อาจทำให้สเปิร์มมีคุณภาพลดลง

ความเสี่ยงอื่นๆ ของไมโครพลาสติกในอสุจิ
การศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงเต่ายืนยันการมีอยู่ของอนุภาคเหล่านี้ในอสุจิมนุษย์ ซึ่งได้สร้างความกังวลที่มากกว่าการมีบุตรยาก ความเสี่ยงบางอย่าง เช่น
 
  • การอักเสบภายใน: ไมโครพลาสติกสามารถก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เมื่ออนุภาคเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือด มันสามารถไปถึงอวัยวะต่างๆ รวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ การอักเสบนี้อาจไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอสุจิ แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง
 
  • การรบกวนฮอร์โมน: ไมโครพลาสติกบางชนิดปล่อยสารเคมีที่สามารถเลียนแบบหรือรบกวนฮอร์โมน การรบกวนฮอร์โมนนี้สามารถส่งผลกระทบต่อระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ ในผู้ชาย การไม่สมดุลของฮอร์โมนสามารถส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ต่อความสามารถในการมีบุตร แต่ยังส่งผลต่อด้านอื่นๆ ของสุขภาพการสืบพันธุ์ เช่น ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและสุขภาพทางเพศโดยรวม
 
  • ไมโครพลาสติกในอสุจิทำลายยีน: ไมโครพลาสติกอาจทำให้เกิดความเสียหายทางพันธุกรรม สารเคมีจากพลาสติกเหล่านี้อาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์หรือความเสียหายต่อดีเอ็นเอ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมดังกล่าวอาจมีผลระยะยาวต่อสุขภาพโดยรวมและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหรือโรคพันธุกรรมอื่นๆ
 
  • ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน: ไมโครพลาสติกอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การสัมผัสกับอนุภาคเหล่านี้อย่างเรื้อรังอาจทำให้การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคต่างๆ ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่หลากหลาย

การมีไมโครพลาสติกในร่างกายอาจส่งผลแย่กับร่างกายมากกว่านี้ และนี่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าเราเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมยังไงบ้าง สิ่งที่เราทำกับโลกนี้ ส่งผลตัวเราเองในที่สุด การลดพลาสติก ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอาจช่วยปกป้องสุขภาพไม่เพียงแต่ของเรา แต่ยังรวมถึงสุขภาพของคนยุคต่อๆ ไปด้วย

source: https://www.sciencedirect.comhttps://www.earth.com
-->