ก่อนหน้านี้เราก็รู้ว่า “มิกกี้ นนท์ อัลภาชน์” เขาแพชชั่นกับเรื่องสุขภาพและการออกกำลังกายมาก แต่ยิ่งได้มานั่งจ้องหน้าคุยกับเขาวันนี้ ยิ่งพูดเต็มปากเลยว่านี่คือผู้ชายที่เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย โคตรมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำสิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จคนหนึ่งในเมืองไทย...เปิดใจให้พร้อม แล้วมาทำความรู้จักกับเขาไปพร้อมๆ กันเลย!





ไม่ใช่แค่อาชีพ...แต่เกือบทุกอย่างในชีวิตคือ "เรื่องของสุขภาพ"

หลายคนอาจจะเคยรู้จักเขาผ่านสื่อต่างๆ กันมาบ้างแล้ว แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้คือชีวิตของเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพและการออกกำลังกายมาตลอด “ตอนนี้ผมเปิดสตูดิโอชื่อ EAT AND TRAIN CAFE อยู่แถวซอยอารีย์ครับ แล้วก็มีทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพให้กับที่ต่างๆ เป็นโค้ชสอนออกกำลังกายแบบตัวต่อตัว สอนการออกกำลังกายแบบ Corporate wellness ที่เป็นการสอนกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ เอาจริงๆ แล้วผมก็ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับสุขภาพเลย” 

 

หลายคนอาจจะเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้าง และเขาก็เป็นหนึ่งคนที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักจนไม่เคยรู้สึกถึงคำว่าเบื่อ “ในทุกๆ วัน ผมจะตื่นนอน  05.45 แล้วก็เริ่มสอนตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า แต่ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์หรืออาทิตย์ก็จะสอนยาวไปจนถึงเที่ยง พอสอนเสร็จก็ออกกำลังกาย ออกกำลังกายเสร็จก็จะนั่งเขียนงาน เตรียมเว็บไซต์ ทำงานเตรียมออนไลน์เทรนนิ่ง ถ้ามีงานที่อื่นต้องออกไปข้างนอกก็จะไปทำงานข้างนอก ผมทำทุกอย่างให้เหมือนกับทำงานครับ ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว ผมไม่เคยบ่นกับมัน ไม่มีอารมณ์ไม่อยากทำหรือเบื่อ เพราะงานพวกนี้มันทำให้ผมได้พัฒนาตัวเอง”

 

เมื่อเราถามเขาว่าอะไรที่เป็นเหมือนแรงผลักดันทำให้เขาดูเป็นคนที่โฟกัสกับเป้าหมายของตัวเองได้ชัดเจนมาก “ผมคิดว่าเป็นเพราะผมไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ต้องทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง ต้องใช้เวลาที่นั่นให้เกิดประโยชน์และมีค่ามากที่สุดไม่อยากให้พ่อแม่ต้องกังวล ผมว่านั่นเป็นการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ผมรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าชอบอะไร และผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมเรียนมาจะทำเงินได้เท่าไหร่ แต่มองว่าเราชอบอะไรทำอะไรแล้วมีความสุข สุดท้ายแล้วความชอบมันจะผลักดันให้เราหาโอกาสในตัวเองได้”

 

“ถ้าอยากมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนผมมองว่าควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายในระยะสั้นและมีแผนก่อน สังเกตจากการออกกำลังกาย คนส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายว่าฉันอยากจะลดน้ำหนัก 2 กิโลฯ ภายในเวลา 30 วัน จากนั้นเราก็วางแผนเลยว่า 7 วันแรกทำอะไร 14 วันทำอะไร 21 วันทำอะไร นั่นคือการวางแผน มันก็เหมือนกับการทำงานมีโปรเจคนี้ต้องส่งในอีกสองเดือน คุณจะเริ่มวางแผนว่าจะเริ่มอะไรเมื่อไหร่ ผมว่าที่หลายๆ คนไม่ได้ทำก็คือการตั้งเป้าหมายและวางแผนในการไปสู่เป้าหมาย

 

สิ่งที่เขามองว่าคืออุปสรรคใหญ่ของหลายๆ คนก็คือ การไม่ลงมือทำซ้ำ “เชื่อไหมว่าทุกอย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ เมื่อสี่ปีที่แล้วผมทำมาหมดแล้วแต่มันไม่สำเร็จ แต่ผมก็ยังทำมันมาเรื่อยๆ ทำทุกปี พอมาปีที่สี่เพิ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ไม่ว่าอะไรก็ตามบางทีเราทำหนึ่งครั้งมันอาจจะไม่ได้สำเร็จเลย มันอาจจะต้องใช้โอกาสหลายรอบ  ผมว่าอุปสรรคของหลายๆ คน คือส่วนใหญ่จะลงมือทำแค่รอบเดียวแล้วก็ท้อ อย่างเทรนด์ออนไลน์ผมเปิดมาทุกปี เพิ่งจะมีลูกค้ามาสมัครเยอะก็ปีนี้ เมื่อก่อนสมัครสองคนสามคนผมก็ทำ ผมว่ามันต้องเกิดการทำย้ำๆ ซ้ำๆ สุดท้ายแล้วผลมันก็จะออกมาสำเร็จเอง”

 

ถึงแม้หลายคนอาจจะมองว่าเขาประสบความสำเร็จแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดที่จะเดินต่อ “ตอนนี้มีสองอย่างที่อยากทำก็คืออยากทำ Corporate wellness ให้เป็นโปรแกรมมากขึ้น เช่น 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมแบบครั้งคราว ผมว่ามันไม่ได้อะไร คนฟังก็ไม่ได้สุขภาพเพราะไม่มีการทำอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกอย่างที่อยากทำก็คือ Health retrieve หรือแคมป์พักผ่อนเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย เช่น แคมป์ 3 วัน 2 คืน เป็นกิจกรรมที่ได้จากการพักผ่อน ผมมองว่าการไปเที่ยวและออกกำลังกายไปด้วยมันก็เป็นการพักผ่อนอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือสองอย่างที่อยากทำและพยายามผลักดันอยู่ครับ”

 

“ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่การมีสติทำให้เราคิดช้าลงและมีเวลาไตร่ตรองตัวเองมากขึ้นก่อนที่จะทำอะไร แล้วเราจะไม่มาเสียดายทีหลังว่าไม่น่าทำเลย คนอาจจะเห็นว่าผมอายุแค่นี้แต่คิดเหมือนผู้ใหญ่นั่นก็เป็นเพราะผมชอบอยู่กับผู้ใหญ่ ชอบความคิดและมุมมองของผู้ใหญ่เพราะเค้าจะสอนอะไรเราได้มาก”

 

“วิธีการออกกำลังของผม ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าหลักการขยับร่างกายเป็นอย่างไร เช่น การ squad, lunged, rolltation, การ push, การ pull แล้วเอาปัจจัยพวกนี้มารวมกับเป้าหมายของเราว่าเป้าหมายของเราคืออะไร อยากฟิตขึ้น อย่างแข็งแรงขึ้น อยากสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้น  หรือว่าอยากขยับตัวดีขึ้น จากนั้นก็มาออกกำลังกายตามโปรแกรม คือ ผมจะไม่มองเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อหรือไขมัน เพราะว่าถ้าคุณออกกำลังกายเพียงพอเรื่องพวกนั้นก็เป็นผลพลอยได้อยู่แล้ว นั่นคือรูปแบบหลักการของผม” 

 

ด้วยลักษณะงาน ทำให้เขาได้ออกกำลังกายไปในตัว “ผมสอนลูกค้าอยู่ตลอดต้องยกน้ำหนัก ต้องสอนวันนึง 5-6 คนก็ยกไป 5-6 รอบ แล้วผมก็ยังทำวิดิโอคอนเทนต์เองด้วย ก็เลยเป็นการออกกำลังกายไปด้วย ส่วนเรื่องอาหารหลักๆ ก็จะกินตามกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน แต่ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องกินคลีน จริงๆ ผมไม่ชอบกินคลีนเพราะรู้สึกว่ามันเลี่ยนแล้วก็แห้ง กินปริมาณที่พอดี กินตามใจชอบ กินในสิ่งที่อยากกิน แต่ยังอยู่ในปริมาณที่ควบคุมไว้”

 

เริ่มจากตั้งเป้าหมายก่อน การมีเป้าหมายจะช่วยทำให้เราไปถึงจุดตั้งใจได้ ตั้งเป้าหมายเสร็จแล้วก็ต้องวางแผนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น คนทั่วไปบอกว่าอยากผอม แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย นั่นแสดงว่าเป้าหมายยังไม่ได้สำคัญมากพอ และไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร “สติ” จะพาให้คุณไปถึงจุดหมายได้