ไม่มีอะไรสำคัญกว่า 'สุขภาพ' บทเรียนหลังป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะที่ 4
ภาพของโรคมะเร็งที่หลายคนจินตนาการไว้ว่าเลวร้ายและน่ากลัว อาจเทียบไม่ได้เลยเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเราจริงๆ อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ตั้ม-ภัทรชัย หวังลดาภิรมย์ ที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีในการต่อสู้กับมะเร็งร้ายและถึงแม้วันนี้เซลล์มะเร็งได้หายไปจากร่างกายของเขาหมดแล้ว แต่บทเรียนของความเจ็บป่วยและการรักษา ได้สอนให้ตั้มรู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่า “สุขภาพ” ของตัวเขาเอง
ณ โมเม้นท์ที่เจอก้อนเนื้อข้างลำคอ
“เมื่อปีที่แล้วผมมีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าร่างกายอาจจะเป็นอะไร เพราะผมทำงานค่อนข้างหนักทั้งดูแลธุรกิจด้านวิศวกรรมของที่บ้าน เปิดร้านขายจักรยานของตัวเอง และก็โหมออกกำลังกายหนักด้วย ช่วงเวลาต้นปีก็เลยเริ่มที่จะทำประกันสุขภาพเผื่อเอาไว้บ้าง เผื่อว่าตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีประกันคอยดูแล” ซึ่งความคิดนั้นก็เป็นจริง เขาพบก้อนเนื้อที่บริเวณด้านข้างของลำคอ ซึ่งเขาคิดว่ามันอาจจะเกิดจากการอักเสบจากการออกกำลังกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัปดาห์หนึ่ง ก้อนเนื้อก็ดูไม่ได้ยุบลงเลย เขาจึงตัดสินใจไปตรวจกับหมอที่คลินิกด้านหู คอ จมูก “ผลการตรวจบอกว่าน่าจะเป็นก้อนเนื้อที่เกิดจากวัณโรค หมอเลยให้ยามากิน จนผ่านไปราว 1 เดือน ก้อนเนื้อก็ยังไม่ยุบแล้วกลับมีก้อนเนื้อเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาใกล้กับก้อนเนื้อเดิมอีก ตอนนั้นเรารู้สึกไม่สบายใจแล้ว กังวล เครียด เลยตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอตัดก้อนเนื้อไปตรวจ ผลออกมาว่า ผมเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะที่ 4”
มะเร็งระยะที่ 4 นี่คือระยะลุกลาม
เขาได้รับคำแนะนำให้มาตรวจวินิจฉัยแบบพิเศษเวชศาสตร์นิวเคลียร์เทคโนโลยี PET CT Scan อีกครั้งที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จากพ่อของเพื่อนที่เป็นหมอเพื่อตรวจหาว่ามะเร็งได้ลุกลามไปยังที่ใดแล้วบ้าง ซึ่งทำให้พบว่า เชื้อมะเร็งนั้นได้กินพื้นที่หลังโพรงจมูก ต่อมน้ำเหลืองและบางส่วนของปอด “ตอนนั้นคือเครียดมาก อย่างแรกเลยคือรู้สึกว่าต้องรักษา แต่ก็จะมีความคิดเข้ามาอีกว่ารักษาไปก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ส่วนประกันที่ทำไว้แล้วก็ไม่ครอบคลุมเพราะระยะเวลาไม่ถึง แล้วยังมีเรื่องต้องตัดสินใจอีกว่าจะรักษาที่ไหนเพราะผมเป็นคนหาดใหญ่ จะรักษาที่กรุงเทพหรือที่หาดใหญ่ในวันที่เราอยากได้การรักษาที่ดีที่สุด จนสุดท้ายเลือกที่จะรักษาที่หาดใหญ่เพราะครอบครัว แฟนอยู่ที่นั่นกันหมด ก็เลยคิดว่าอยู่ใกล้บ้านดีกว่า จะได้มีคนคอยดูแลระหว่างรักษาตัว”
เริ่มต้นการรักษา...สภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง
เขาเริ่มการรักษาด้วยวิธีการให้เคมีบำบัดและการฉายแสง ทำให้ร่างกายที่เคยแข็งแรงของเขาค่อย ๆ อ่อนแอลง พิษจากการให้ยาเริ่มทำให้เขาอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียนและมีน้ำหนักที่ลดลงมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นการฉายแสงได้เริ่มทำลายเซลล์ต่างๆ ทั่วทั้งบริเวณหลังลำคอของเขา “พอฉายแสงไปหลายๆ ครั้งเข้า มันเริ่มส่งผล การฉายแสงทำให้น้ำลายในปากไม่มีเลย เหงือกบางลง ผมทานอาหารรสจัดไม่ได้เลย ยิ่งผ่านไปเนื้อบริเวณหลังลำคอก็เริ่มไหม้ ถึงจะทำให้ก้อนเนื้อยุบลงแต่เป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก”
อดทนกับการรักษา เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งให้มากที่สุด
“ตอนนั้นสิ่งเดียวที่ยังทำให้รู้สึกดีคือผลการรักษาและการให้กำลังใจของหมอ หมอบอกว่าก้อนเนื้อและเซลล์มะเร็งที่อยู่บริเวณลำคอมันน้อยลง การรักษาได้ผลค่อนข้างดีเลยอยากให้เรารักษาต่อในช่วงที่ 2 ซึ่งหมออธิบายว่าเป็นการรักษาเพื่อคลี่คลายให้มะเร็งมันหายไปให้หมด แต่แล้วอาการแย่ ๆ มันก็กลับมาอีก การฉายแสงในรอบนี้ไม่มีอีกแล้ว เหลือแค่การให้เคมีบำบัด ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ผมมีผดร้อนขึ้นเต็มตัวไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผลข้างเคียงจากการฉายแสงก่อนหน้านี้ก็ยังคงอยู่ ผมกินอาหารไม่ได้อีกต่อไป มีร้อนในเต็มคอไปหมด ต้องอาศัยการให้อาหารทางสายให้อาหาร ที่ต่อออกมาจากกระเพาะ (Gastrostomy Tube) กลืนอะไรไม่ได้เลย ขากเสลดตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนก็ต้องตื่นมาขากเสลดจนพักผ่อนไม่เพียงพอ พูดอะไรกับใครก็ไม่ได้ ไม่มีเสียง ไม่มีแรงจะพูด สื่อสารด้วยท่าทางกับการเขียน ตอนนั้นจำได้เลยว่าท้อมากกับสิ่งที่เป็น บางครั้งรู้สึกไม่อยากตื่นไม่อยากไปรักษาอีก”
ผ่านมาได้ด้วยกำลังใจ ความเข้าใจจากแพทย์ และคนรอบข้าง
ช่วงเวลาที่เลวร้ายของเขานั้นได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้วยครอบครัว แฟนและเพื่อนที่คอยผลัดกันมาดูแลเยี่ยมเยียน เป็นพลังใจที่สำคัญในการต่อสู้กับความทุกข์จากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนั้นแล้วเขายังเลือกที่จะเชื่อและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่ดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด “คำพูดของหมอเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนไข้ที่ทำให้เราอยากรักษาต่อ มีอะไรก็ถามหมออย่าคิดไปเองอย่าเครียดไปเอง ตอนที่คอเป็นแผลไหม้จนรู้สึกแย่มากๆ หมอก็อธิบายว่ามันจะหาย ทำให้เรามีกำลังใจและเชื่อว่ามันก็เป็นแค่ผลจากการรักษาและจะดีขึ้นเอง เราแค่รอเวลาให้มันหาย รวมถึงอาการอื่นๆ ก็เหมือนกัน”
เปลี่ยนชีวิต ฟื้นฟูสุขภาพ
ในวันนี้เขากลับมาแข็งแรงขึ้น แต่เคมีบำบัดก็ได้ทิ้งร่องรอยที่ติดลงบนตัวของเขา ผมเขาร่วงออกจนเขาตัดสินใจโกนผมออกทั้งหมด และสูญเสียการได้ยินโทนเสียงบางโทนเสียงไปบ้างจากผลข้างเคียงของเคมีบำบัด แต่สิ่งที่แลกมานั้นคือชีวิตที่กลับมามีความสุขได้อย่างเดิมอีกครั้ง “หมอไม่ได้ใช้คำว่า “หายขาด” เขาแค่บอกว่าหลังการรักษาเราไม่พบก้อนเนื้อมะเร็ง และการรักษาเป็น Good Requirement หลังจากนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือหันมาดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ งดเหล้า บุหรี่ เลี่ยงทำงานที่ต้องเจอฝุ่นได้ก็ต้องเลี่ยง หรือหาทางป้องกัน"
"พอป่วยหนักๆ แล้วมันทำให้เราตระหนักได้ว่าสุขภาพที่ดีคือสิ่งที่ดีที่สุด การไม่มีโรคเป็นโชคลาภอันประเสริฐ คนปกติอาจจะมองว่าเรื่องเงิน เรื่องมีกิน แต่ถ้าได้ลองป่วยดูคุณจะได้รู้ว่าสุขภาพที่ดีเป็นพรอันประเสริฐที่สุดแล้ว”