แค่ประมาทเพียงนิดเดียว...ทำให้เขาต้องเจอกับ 'เยื่อหุ้มสมองอักเสบ' และ 'ลมชัก' ไปตลอดชีวิต
เชื่อมั้ยว่าแค่ความประมาทเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็สามารถทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจนอาจถึงชีวิตได้เลยเหมือนกัน เคสที่เรากำลังจะเล่านี้เป็นเรื่องของคุณภูมิ กษิดิศ แจ่มเจริญลาภ อีกหนึ่งตัวอย่างของความประมาทที่ถึงแม้ในวันนี้จะโชคดีที่ไม่ถึงชีวิต แต่หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ทุกอย่างของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ความประมาท...จุดเริ่มต้นของอุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิต
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว วันนั้นหลังจากที่เตะบอลเสร็จ ก็ไปนั่งดื่มสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนต่อกันอีกนิดหน่อย พอถึงเวลาแยกย้าย เราก็ขับรถกลับกัน 2 คัน แต่ตอนนั้นรถของเพื่อนที่ขับตามมาข้างหลังเกิดอุบัติเหตุ” ด้วยความเร่งรรีบ ที่อยากจะย้อนกลับไปดูเพื่อนว่าเป็นยังไงบ้าง พวกเขาก็เลยรีบกลับรถ ซึ่งตอนนั้นฝนกำลังตก ถนนก็ค่อนข้างลื่น บวกกับแอลกอฮออล์ที่ดื่มกันมา ก็ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น “รถที่เรานั่งมาเสียหลักไปชนกับเสาไฟ ซึ่งตำแหน่งที่ชนมันเป็นตำแหน่งด้านข้างคนขับทั้งด้านหน้าด้านหลัง ซึ่งเรานั่งอยู่ข้างหลังพอดี” นั่นทำให้ตัวของเขาไปกระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้า “ความรู้สึกตอนนั้นคือจำอะไรไม่ค่อยได้เลย จำได้แค่ว่ามีเพื่อนมาเรียกให้ตื่น มีรถกู้ภัย ที่เหลือคือจำอะไรไม่ได้เลย”
เริ่มปวดหัวรุนแรงจนไม่ได้สติ คุณหมอวินิจฉัยว่า “เยื่อหุ้มสมองอักเสบ”
อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เขาถูกดามเฝือกที่คอ และมีรอยบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย แต่พอวันรุ่งขึ้นคุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ เพียงแต่ยังต้องกลับมาติดตามดูอาการอยู่ ซึ่งเขาเองก็ได้กลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำ MRI และในขณะที่ร่างกายดูเหมือนจะค่อยๆ หายเป็นปกติ ก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา “ผ่านช่วงเวลาเอกซเรย์ไปซัก 5 วัน มีอยู่วันหนึ่งเรานั่งรถเข็นอยู่ แล้วอยู่ๆ ก็ไม่ได้สติ ตอนนั้นคือหลุดไปเลย สติหลุด จำอะไรไม่ได้ จำได้แค่ว่าปวดหัวมาก ปวดมากเหมือนจะตาย คนรอบข้างก็เล่าให้ฟังว่าอยู่ๆ ก็เพ้อ เห็นอะไรก็ไม่รู้ พูดอะไรเพ้อขึ้นมา ซึ่งหมอที่ดูแลก็ฉีดยาให้หลับ เราก็หลับแบบไม่ได้สติเลย หลับไปหลายวัน” ซึ่งในช่วงระหว่างที่นอนไม่ได้สติอยู่นั้น ทางครอบครัวก็ตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลเพราะที่เดิมที่รักษาอยู่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงตัดสินใจไปเริ่มรักษาที่โรงพยาบาลใหม่ “ซึ่งหมอบอกว่าเยื่อหุ้มสมองของเขาอักเสบ จากการที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน ผลที่เกิดขึ้นคือมีเซลล์สมองบางส่วนตาย”
เกือบอาทิตย์...ที่อยู่แบบร่างกายไม่ตอบสนอง
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์ที่เขาต้องนอนไม่ได้สติอยู่ใน ICU ต้องให้อาหารทางสายยาง และมีอาการเหมือนกับเจ้าชายนิทรา แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้เขาได้ดีคือ การมีรุ่นพี่รุ่นน้องจากมหาวิทยาลัยที่คอยมาเยี่ยมกันตลอด “เพื่อนพี่น้องจากศิลปากรมาเยี่ยมมาให้กำลังใจเยอะมาก ตอนที่เริ่มมีสติขึ้นมาบ้าง มีคนมาหาตลอด แต่ตัวเราเองยังทำอะไรไม่ค่อยได้ บางทีก็อยากคุยกับเขา แต่พูดคุยสื่อสารไม่ได้เลย อยากกอดแต่ร่างกายไม่ตอบสนอง ติดสายระโยงระยางเต็มไปหมด ทุกคนเป็นห่วงเรามาก แต่ว่าบางคนเราก็ยังจำไม่ค่อยได้ เหมือนความจำเราเองก็ไม่สมบูรณ์ดีด้วย ชีวิตตอนนั้นก็คือต้องค่อยๆ พยายามฟื้นฟูร่างกายขึ้นมาใหม่ เพื่อนมาช่วยพยุง หัดเดิน ครอบครัวก็มาอยู่คอยดูแลเราตลอด พอป่วยแล้วจะรู้เลยว่าคนรอบตัวสำคัญมาก เป็นทั้งกำลังใจและคนคอยดูแล อย่างแม่เองก็ร้องไห้ทุกวันอยากให้เราหายป่วย คอยป้อนข้าว ป้อนน้ำเพราะเรายังทำอะไรเองไม่ได้”
ร่างกายฟื้นตัว...แต่กลับประสบอุบัติเหตุซ้ำอีกครั้ง
หลังจากที่เขากลับมาบ้านก็ใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายประมาณ 1 ปี ค่อยๆ ฝึกพูด จากที่เคยพูดไม่ชัด ก็ค่อยๆ พูดชัดขึ้น ออกกำลังกายเล่นกีฬามากขึ้น เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เขาเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นดีขึ้นจนมีเพื่อนชวนไปทำงานโชว์รูมขายรถ “เป็นงานที่ต้องสื่อสารกับลูกค้า แต่ตอนนั้นเหมือนร่างกายหายดี พูดสื่อสารได้ทั้งที่เมื่อก่อนทำไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองปกติจนกลับมาออกกำลังกายเล่นกีฬา เล่นฟุตบอล แล้วก็มาเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก คือตอนนั้นไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ แล้วมันมีการกระแทกกันในเกมเกิดขึ้น เป็นการชนกันธรรมดา แต่คงไปซ้ำแผลเก่า ไปกระทบกระเทือนในหัว ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอะไรเลย แต่พอผ่านไปได้ 5 วัน ก็เป็นลมชัก”
กลับมาพูดลำบาก...ก็ไม่ค่อยกล้าสื่อสารกับใคร
ในที่สุดเขาก็กลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เจอกับอาการที่เกิดขึ้นใหม่อย่างลมชัก “ทุกครั้งที่ชัก เซลล์สมองก็จะถูกทำลาย ทำให้การพูดของเรากลับมาไม่ปกติอีกครั้ง พูดช้า พูดไม่ชัด หรือบางทีก็พูดคำสลับกันหรือคำผวนไปเลยก็มี ทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะพูดกับใคร แต่เราก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ ยังไปสังสรรค์ทำกิจกรรมกับเพื่อนแค่ไม่พูดมากเหมือนเมื่อก่อน” และในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความห่วงใยจากคนรอบข้าง “เพื่อนและครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญมาก แม่ก็จะคอยเตือนให้ลดการดื่ม ลดบุหรี่ลง พอเป็นแบบนี้สิ่งที่ต้องระวังก็คือไม่ให้เกิดอาการเป็นลมชักมาอีก หมอที่เคยตรวจตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุครั้งแรกเขาเปิดคลินิกเฉพาะทางด้านสมอง เขาก็ให้หนังสือมาอ่านให้เรารู้วิธีการดูแลตัวเอง ทำให้เข้าใจอาการของโรคนี้มากขึ้น”
และนับจากวันแรกที่มีอาการชักจนถึงวันนี้ เขาผ่านอาการชักมาทั้งหมด 19 ครั้ง ซึ่งโรคนี้ก็ยังคงไม่ได้หายไป เพียงแต่เขาต้องคอยดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เป็นเวลา นอนให้พอ พยายามไม่เครียด หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่แออัด และออกกำลังกายเพื่อให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ซึ่งทุกวันนี้เขาก็พยายามทำตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการชักขึ้นมาอีก หรือแม้แต่เพื่อนๆ เอง ก็แนะนำให้หาหนังสือพิมพ์มาฝึกอ่านออกเสียงตาม
และสุดท้าย สิ่งที่เขาอยากฝากไว้ก็คือ “อย่าประมาทกับการใช้รถใช้ถนนและหลีกเลี่ยงจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะถ้าจะต้องขับรถ เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเผชิญปัญหาโดยมีสาเหตุมากจากอุบัติเหตุที่มีแอลกอฮอล์มาเกี่ยวข้อง