เธอคิดว่าตัวเองตั้งท้อง แต่กลับต้องเจอความจริงสุดช็อกว่าเป็น 'มะเร็งเนื้อรก'
เมื่อปีที่แล้ว “Grace Baker-Padden” ในวัย 23 ปีเข้าใจว่าตัวเองกำลังตั้งท้อง ขณะเดียวกัน ลึกๆ เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงยังตั้งท้องได้ทั้งๆ ที่ทานยาคุมป้องกันไว้แล้วก่อนการมีเพศสัมพันธ์ แต่หลังจากทำการทดสอบการตั้งครรภ์ทั้งหมดสี่ครั้งและเข้ารับการตรวจจากแพทย์ในมณฑลเดอเร็มของประเทศอังกฤษ ผลที่ออกมายืนยันชัดเจนว่าเธอ “กำลังตั้งท้องจริง” ตอนนั้นเธอและแฟนตื่นเต้นมากแต่ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้ยินว่าเธอเป็น "มะเร็งเนื้อรก"
คุณกำลังสงสัยเหมือนเราใช่มั้ยล่ะว่า...ตกลงเธอท้องจริงๆ หรือเปล่า? ทำไมการวินิจฉัยถึงบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้? การที่เธอกินยาคุมก่อนมีเพศสัมพันธ์ช่วยไม่ได้เลยหรอ? ถ้าป่วยจริง ทำไมถึงไม่มีอาการอะไรบ่งชี้หรือเตือนบ้างเลย? งั้นเรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
ข้อสงสัย#1: สรุป...เธอท้องหรือเปล่า?
ใช่สิ! เธอท้องแน่นอน เพราะคุณจะพบว่าเธอได้ตรวจสอบการตั้งครรภ์ถึงสี่ครั้งพร้อมกับผลยืนยันของแพทย์ที่ว่าเธอนั้นท้อง ซึ่งจากตรงนี้ เราเชื่อว่าความคลาดเคลื่อนจากหมอนั้นเป็นไปได้ยากมาก
และเมื่อลองวิเคราะห์ต่อจะพบว่า เกรซอ้างว่าตนได้ทานยาคุมกันไว้ก่อนเริ่มกิจกรรมบนเตียง ซึ่งจริงๆ แล้ว...เราอยากให้เข้าใจก่อนว่ายาคุมไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จากข้อมูลเบื้องต้น ยาคุมที่เธอทานก็ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นชนิดไหน แบบฉุกเฉินหรือแบบแผง ถ้าเป็นแบบแผง ความผิดพลาดที่เธอมีอาจเกิดจากการทานไม่ตรงเวลา ส่วนถ้าเป็นการทานแบบฉุกเฉินนั้น เมื่อครบ72 ชม.เธอต้องทานเม็ดแรกหลังจากมีเซ็กส์ก่อนต่อด้วยเม็ดที่สอง ซึ่งต่อให้เธอทำแบบนี้ มันก็ป้องกันได้แค่ 75% หรือถ้ารีบทานทันทีภายใน 24 ชม. มันก็สามารถป้องกันได้เพียง 85 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เรียกว่าจะรีบแค่ไหน ก็ป้องกันไม่ได้แบบ 100 % เห็นมั้ยล่ะว่ามันก็มีโอกาสที่เธอจะตั้งท้องได้ แม้จะบอกว่ากินยาคุมแล้วก็ตาม
ภาพของเกรซและแฟนหนุ่ม Photo by Joe Cowling
ข้อสงสัย#2: ทำไมถึงไม่มีอาการหรือสัญญาณผิดปกติอะไรเลย?
เธอเล่าว่าอาการที่เป็นตอนนั้นเหมือนกับคนกำลังท้องจริงๆ เช่น ประจำเดือนขาด มีอาการแพ้ท้องในยามเช้าของทุกวัน และท้องของเธอก็ค่อยๆ บวมโตขึ้นแต่ไม่ใหญ่มาก ลักษณะเหมือนกับคนท้องอ่อนๆ โดยเกรซเองก็เข้าใจว่ามันคงเป็นเรื่องปกติ แต่แล้วประมาณสามเดือนต่อมา เธอเริ่มมีอาการเลือดออกในช่องคลอดปรากฎขึ้น!
จากอาการเลือดออก เกรซถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล The University Hospital of North Durham เพื่อฟังข่าวดีว่าลูกเธอปลอดภัยได้ทันเวลา แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ Joe Cowling เล่าว่า ทีมแพทย์ไม่พบร่างของเจ้าตัวน้อยเลย ส่วนที่บวมอยู่ในท้องนั้นมันเป็นเซลล์มะเร็งทั้งหมด !!
“พอครบ12 สัปดาห์ ฉันและสามีได้เดินทางกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะว่าเริ่มมีอาการเลือดออก กลัวว่าจะแท้งเจ้าตัวเล็ก …แต่ผลตรวจพบว่าตัวฉันกำลังป่วยเป็นโรคร้ายอย่าง ‘มะเร็งเนื้อรก’ หรือ Gestational trophoblastic disease”
photo by Journal Medical Science
การที่อาการโรคไม่แสดงออกมาตั้งแต่แรก ทำให้เธอไม่รู้ว่ากำลังเป็นมะเร็ง ซึ่งการไม่ปรากฎชัดของโรคนั้น ทีมแพทย์บอกว่ามันคืออาการของโรคครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar pregnancy) เป็นการตั้งครรภ์แบบไม่สมบูรณ์ อาการเริ่มแรกจะเหมือนกับคนแพ้ท้องทั่วไป หลังจากนั้นเมื่ออายุครรภ์ได้ 4 สัปดาห์ หรือประมาณสามเดือน (12 สัปดาห์) จะมีเลือดไหลจากช่องคลอด อ่อนเพลีย คลื่นไส้และอาเจียนรุนแรงข้อสงสัย #3: แล้วทำไม...โรคครรภ์ไข่ปลาอุกถึงพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้?
ขออธิบายที่มาของโรคนี้กันก่อน ภาวะนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของเนื้อเยื่อที่จะต้องพัฒนาเป็นตัวทารกและความผิดปกติของเซลล์ที่ต้องพัฒนาไปเป็นรก โดยเริ่มแรกตัวเนื้อเยื่อเปลี่ยนเป็นเนื้องอกและโตอยู่ภายในมดลูก ขณะเดียวกันส่วนที่จะต้องเป็นรกก็ได้กลายเป็นซีสต์หรือถุงน้ำรังไข่ โดยตัวซีสต์และเนื้องอกจะเพิ่มขนาดหรือเติบโตอย่างรวดเร็วในมดลูกไปพร้อมๆ กัน ทางการแพทย์บอกว่าภาวะนี้จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งได้ เรียกว่า โรคมะเร็งไข่ปลาอุกหรือมะเร็งเนื้อรก นั่นเอง!
ข้อสงสัย #4: เป็นแล้ว...รักษายังไง?
เกรซบอกว่า หกเดือนต่อมาเธอได้เข้ารับการรักษาโดยการทำคีโมพร้อมทานยาเพื่อปรับฮอร์โมนในตัวเธอให้สมดุล (สำหรับวิธีนี้ใช้เมื่อพบว่าเนื้องอกนั้นเป็นเนื้อร้าย ซึ่งก็คือเนื้องอกมะเร็งนั่นเอง)
photo by Joe Cowling
ปัจจุบันถึงแม้ตอนนี้เธอจะหายดีแล้ว ทีมแพทย์ก็ได้ย้ำบอกกับเธอถึงโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ว่าโอกาสที่จะเกิดนั้นมีประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกรซเองก็ไม่ประมาท เธอพร้อมดูแลตัวเอง รวมถึงคอยสังเกตความผิดปกติอยู่เสมอเพราะเธอกับแฟนมีแพลนร่วมกัน โดยทั้งคู่ตั้งใจจะมีลูกด้วยกันในอนาคต
ถือเป็นเรื่องราวเตือนใจให้คุณแม่วัยใสทุกคน แม้ว่าโรคนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอายุน้อยโดยส่วนใหญ่ แต่เห็นมั้ยว่าเคสนี้ เกรซพบเจอโรคเมื่อตอนเธออายุเพียง 23 ปีเท่านั้น ฉะนั้น ทันทีที่พบความผิดปกติ เช่น ตกเลือดหรือแพ้ท้องอย่างรุนแรงระหว่างตั้งครรภ์ ขอให้รีบเข้าพบแพทย์ทันที หากปล่อยไว้เนื้อร้ายจะโตขึ้นเรื่อยๆ อุดทับปอดมีผลกระทบต่อการหายใจ เพราะว่ามะเร็งชนิดนี้สามารถลามไปที่ปอดได้เช่นกัน