เจาะลึก 5 Steps “Gender Transition” ประสบการณ์จริงเตรียมพร้อมทั้งกายใจจากเขาและเธอ
Health Addict ได้มีโอกาสได้จับเข่าคุยกับคุณชาลี (ชาลี จาตุสว่างพร ) และคุณปูเป้ (ภิญญาพัชญ์ บุญเรือง) สองท่านที่จะมาแชร์เรื่องราวของการข้ามเพศ หรือการ Transition ลักษณะต่างๆ ของร่างกาย จากเดิมที่เป็นชายและหญิงไปสู่อีกหนึ่งลักษณะของเพศสภาพที่ตรงตามจิตวิญญาณของตัวเองอย่างแท้จริง พวกเขาจะมีวิธีดูแล Mental Health และ Physical Health ให้แฮปปี้ & เฮลธ์ตี้สุดๆ ยังไงบ้าง ไปดูกัน!
เอาให้เคลียร์ คำนิยามของ “Trans” หรือ “Transgender” คืออะไรกันแน่?
คำว่า “คนข้ามเพศ” ที่ในภาษาอังกฤษคือ“Transgender” นั้นหมายถึงการข้ามเพศหรือการแปลงเพศจากเพศกำเนิดที่เดิมเคยเกิดเป็นหญิงหรือชาย ก็เปลี่ยนแปลงร่างกายไปสู่เพศตรงข้ามตามใจหวังอย่างสมบูรณ์แบบ โดยถ้าผู้หญิงข้ามเพศไปเป็นผู้ชาย จะเรียกว่า Female-to-male transgender (FTM/ F2M) ส่วนผู้ชายข้ามเพศไปเป็นผู้หญิงก็จะเรียกว่า Male-to-female transgender (MTF/M2F)
ซึ่งจากการพูดคุยกับทั้งสองท่านนี้ ทำให้พบว่าในเชิงจิตวิทยา การเป็นคนข้ามเพศนี้ไม่เหมือนกับการเป็นเลสเบี้ยนและเกย์ เพราะพวกเขาคือผู้ชายและผู้หญิงจากฐานของจิตใจโดยสมบูรณ์
“GET TO KNOW 5 STEPS” ความแตกต่างของการ Transition จากหญิงเป็นชาย และชายเป็นหญิง
การข้ามเพศจากชายไปเป็นหญิง (male to female) และหญิงไปเป็นชาย (female to male) นั้นมีกระบวนการเริ่มต้นที่เหมือนกันก็คือ การเข้าพบจิตแพทย์และการทำแบบทดสอบเพื่อประเมินให้แน่ใจว่าสภาพทางจิตใจและกายนั้นพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่นี้จริงๆ หรือเปล่า
และนี่คือ STEP คร่าวๆ ของการ Transition ในคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง
STEP#1 พบจิตแพทย์เพื่อรับการประเมินความพร้อม
คุณชาลีเล่าว่า ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ step แรกของการ transition นั้น คุณหมอจะวินิจฉัยภาวะ Gender Dysphoria ซึ่งก็คือภาวะความไม่พอใจในเพศของตัวเองด้วยแบบทดสอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ การตอบคำถามต่างๆ หรือการเล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟัง ซึ่งทางคุณปูเป้บอกว่า“คุณหมอจะตรวจอย่างละเอียดลึกไปถึงขั้นของสัญชาตญาณความเป็นเพศที่เรากำลังจะเปลี่ยนไปเป็น เช่น ให้ดูภาพ abstract แล้วถามว่ามองเห็นภาพเหล่านั้นเป็นอะไร ถ้าเราเห็นเป็นผีเสื้อก็บอกไปตามที่เห็น อย่าโกหกเพราะไม่มีคำว่าผิดถูก”
ตัวอย่างภาพ abstract จาก Dr. Nicole Thomas
... ซึ่งถ้าผลสอบออกมาว่า คนๆ นั้นมีสภาพจิตใจที่อาจยังไม่พร้อม และยังมีความเป็นเพศเดิมมากกว่า คุณปูเป้ก็บอกว่าหมอจะตัดสินไม่ดำเนินการ transition ให้เลย โดยการประเมินนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการป้องกันแนวโน้มของการเปลี่ยนใจกระทันหัน เช่น อยากกลับไปเป็นเพศเดิมหลังจาก Transition ไปแล้ว
STEP#2 GET READY! ให้พร้อมสำหรับการ Transition
การเตรียมตัวนั้นไม่ยุ่งย่างมาก คุณชาลีเล่าว่าก่อนเข้าสู่กระบวนการ transition เขาจะต้องดูแลไม่ให้น้ำหนักตัวเยอะ เพราะน้ำหนักตัวที่มากอาจมีส่วนทำให้ T-hormone (Testosterone Hormone Therapy) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เขาจะต้องเทคไปสร้างปัญหาให้กับร่างกายได้“พอสอบการประเมินผ่านแล้ว ผมก็เข้าพบหมอสูตินรีแพทย์ต่อ ซึ่งคุณหมอจะอธิบายข้อดีข้อเสีย และ side effect ต่างๆ ที่อาจเกิดกับร่างกายในช่วงเทคฮอร์โมน อย่างการเกิดสิว รวมถึงโดสที่เราต้องเทค และระยะเวลาในการเทคฮอร์โมนก่อนที่จะนัดวันตรวจเลือดให้”
ทางด้านของคุณปูเป้ เธอบอกว่าหลังสอบผ่าน ก่อนที่จะมีการ transition หมอจะเช็กร่างกายก่อน และก่อนการผ่าตัดก็จะสั่งให้เลี่ยงการทานอาหารที่ทำให้ขับถ่ายง่าย เช่น ผัก ผลไม้ หรือการทานบุฟเฟต์ที่มีผักเยอะๆ
“หลังแปลงเพศเราห้ามถ่ายเลยอย่างน้อย 5 วัน และจะทานแต่น้ำแดงกับอาหารอ่อนๆ …ช่วง 1-4 วันแรกเดินไปไหนไม่ได้นอนติดเตียงตลอด พอเข้าวันที่ 5 หมอจะเอาสายเดินเลือดออกเพื่อให้ไปปัสสาวะ ถ้าปัสสาวะได้ก็ถือว่าสำเร็จเตรียมตัวกลับบ้านได้ แล้วก็สั่งว่าช่วง 3 เดือนแรกต้องใช้แท่งโมสอดเข้าอวัยวะเพศเพื่อไม่ให้รูที่ผ่าตัดนั้นตีบ”
STEP#3 TAKE HORMONE และสังเกตร่างกาย
การเทคฮอร์โมนทดแทนสำหรับ transgender ทั้งชายและหญิงนั้นจะเรียกเหมือนกันว่า HRT (Hormone Replacement Therapy) ถ้าในกรณีของคุณชาลี หากเรียกการเทคฮอร์โมนแบบเฉพาะเจาะจง ก็จะเรียกว่า Testosterone Hormone Therapy หรือ Transmasculine hormone therapy “ฮอร์โมนที่เทคคือ ‘เทสโทสเทอโรน’ เป็นฮอร์โมนเพศชายที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้ โดสอยู่ที่ 150 มิลลิกรัมทุกๆ 3 วีค อันนี้จะแล้วแต่ร่างกายของแต่ละคน ในช่วงสองเดือนแรกร่างกายก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว เพราะเสียงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชายมากขึ้น”
ซึ่งการเทคฮอร์โมนนี้คุณชาลีบอกว่าจะต้องเทคไปตลอดชีวิต หรือจนกว่าอายุจะเข้า 60 ปีแล้วฮอร์โมนคงที่ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกรณีที่ต้องฉีดด้วยตัวเองก็จะต้องได้รับการพิจารณาโดยแพทย์ก่อนเช่นกัน ซึ่งบริเวณที่ฉีดจะเป็นตรงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross Motor Skills) คือกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว แขน และขา
“หน้าที่ของ T-Hormone คือมันเปลี่ยนไขมันให้ไปเป็นกล้ามเนื้อ รู้สึกได้เลยว่าร่างกายเริ่มมีกล้ามคล้ายผู้ชายโดยที่ไม่ได้เวิร์คเอาท์เพิ่ม”
ส่วนกรณีของคุณปูเป้เธอเลือกการทานฮอร์โมนเอสโทรเจนชนิดเม็ดแทนการฉีด จะเรียกกระบวนการนี้ว่า ERT (Estrogen Replacement Therapy) ซึ่งเธอสารภาพว่าไม่ได้เข้มงวดกับตัวเองเท่าไหร่ เพราะจะเลือกทานเดือนเว้นเดือน
=>SIDE EFFECT เทคฮอร์โมนแล้วอันตรายจริงหรือเปล่า ?
หลักๆ ที่ทั้งคู่บอกเราคือ side effect จากการเทคฮอร์โมนนั้นจะมากับอารมณ์สวิง ฉุนเฉียวหรือบางครั้งก็ร้องไห้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้มันก็ไม่ได้มีผลให้เกิดภาวะอันตรายหรือน่ากลัวอะไร แต่ต้องท่องให้ขึ้นใจว่าคุณต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น! เพราะการเทคฮอร์โมนด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะทานหรือฉีด ก็ล้วนอาจเสี่ยงที่ทำให้ตับและปริมาณไขมันในเลือด หรือระบบร่างกายนั้นมีปัญหาได้
STEP#4 Break Stereotype “การมีจุดยืนของตัวเองนั้นสำคัญ”
ถ้าต้องพูดคำว่า “because everything comes with a price” กับเคสนี้ก็คงจะพูดได้เต็มปาก เพราะมันหมายความว่า หากคุณเลือกที่จะเป็นคนข้ามเพศแล้ว คำแนะนำที่ทั้งคู่อยากบอกก็คือ…คุณต้องมีจุดยืนและยอมรับว่ามันอาจจะทำให้คุณแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้ก็ได้ เช่น การสมัครงานก็ควรเลือกสมัครในที่ที่สังคมเปิดกว้างไปเลยดีกว่า เพราะมันก็คุ้มค่าที่คุณจะเสียเวลาค้นหาเพื่อแลกกับการล้อมรอบด้วยสังคมที่เป็นบวก นอกจากนี้คุณจะต้องยอมรับที่จะถูกตั้งคำถามมากมายจากสังคม…แน่นอนว่าการเตรียมใจให้สตรองและมีความสุขกับคนรอบตัวที่รักคุณนั้นเป็นวิธีแก้ที่ช่วยให้มองข้ามทุกอุปสรรคในชีวิตนี้ไปได้จริงๆ
STEP#5 BE HAPPY & HEALTHY
เรื่องของการดูแลตัวเอง คุณชาลีบอกว่าคุณหมอจะแนะนำให้ “เลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์” เพราะการเทค testosterone hormone เข้าสู่ร่างกายจะไปทำให้ตับทำงานเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยง นั่นก็จะยิ่งทำให้ตับทำงานหนักมากขึ้นจนเกิดอันตรายได้ ส่วนเรื่องการทานอาหารคุณชาลีบอกว่าตนสามารถทานทุกอย่างได้ตามปกติ ถ้าเป็นการออกกำลังกายก็จะใช้วิธีการเล่นเวทหรือยกเวทอาทิตย์ละ 3 วัน ประมาณ 1-2 ชม. ต่อด้วยการทาน Mass Gainer เวย์โปรตีนควบคู่ไปเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัว ด้านคุณปูเป้เธอก็จะดูแลตัวเองด้วยการคาร์ดิโอ ลดแป้ง และทานอาหารในปริมาณที่ร่างกายต้องการเท่านั้น
- ถ้าอยากข้ามเพศควรเริ่มตอนไหน ?
อ่านมาถึงตรงนี้เป็นยังไงกันบ้าง? หากคุณสนใจอยากไปติดตามเรื่องราวของพวกเขาเพิ่มเติมหรือเพื่อส่งกำลังใจ ก็สามารถเข้าไปส่องและให้กำลังใจกันได้ตามช่องทางนี้เล้ยย!
คุณชาลี
Youtube Channel: ChomChatus
คุณปูเป้
IG : pupaepinyapatch
“การแปลงเพศไม่ใช่แค่อยากมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่มันคล้ายกับการทำให้ร่างกายตรงกับจิตวิญญาณของการเป็นเพศหญิงมากที่สุด ไม่มีแฟนก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะใจแค่อยากเป็นผู้หญิง”-ปูเป้