5 ข้อที่การวิ่งมาราธอนจะสอนเราได้ทุกเรื่องในชีวิต

เรายังไม่เคยลงวิ่งมาราธอน บอกก่อนเลย แต่ก็เคยไปถึงฮาล์ฟมาราธอนอยู่หนึ่งครั้ง ส่วนคุณๆ ที่กำลังอ่านอยู่หลายคน อาจเคยจบมาราธอนมาแล้วหลายครั้ง หรือบางคนอยู่ในแพลนที่จะไปจบมาราธอนแรกสักครั้ง บางคนวิ่งมินิ 10 K มาแล้วหลายสนาม บางคนวิ่ง 5K เป็นกิจวัตรทุกวัน และบางคนอาจเพิ่งเริ่มต้นวิ่งอย่างจริงจังไม่นานมานี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มไหน ถ้าได้ลองเริ่มต้นวิ่งแล้วล่ะก็ เราเชื่อว่าคุณจะ...เหนื่อย 
 
ใช่ เมื่อคุณเหนื่อย คุณอาจจะหยุดและล้มเลิก แต่ถ้าคุณไม่หยุด ไม่ล้มเลิก และวิ่งต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในสเตจไหนของการวิ่ง จะหนึ่งโลสองโลติ๊งหน่องรอบหมู่บ้าน จะ 5k 10k 21k หรือไปถึง 42k แค่ถ้าได้ลองผ่านประสบการณ์การวิ่งอย่างจริงๆ จังๆ แล้วล่ะก็ คุณจะรู้สึกเหมือนเราว่า “การวิ่ง” จะสอนแง่คิดอะไรหลายอย่างที่เราอาจเอามาใช้กับชีวิตทั้งชีวิตได้เลย


 
การวิ่งสอนแนวคิดอะไรเราบ้าง...

1. ไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะใคร เพราะคนเดียวที่เราควรเอาชนะคือตัวเราเอง
การวิ่งคือการเอาชนะตัวเอง ฟังดูเหมือนจะคลิเช่มาก แต่มันคือความจริง สำหรับคนเพิ่งเริ่มต้น แค่จะวิ่งให้ได้ 5 กิโลก็ยังเป็นเรื่องยาก บางวันเสียงในหัวเราอาจตะโกนว่า “ไม่ต้องออกไปวิ่งหรอกวันนี้ นอนดูซีรี่ย์น่าจะดีกว่า” หรือในวันที่เราตั้งเป้าจะวิ่ง 10 กิโล เราอาจต้องต่อสู้กับใจตัวเองสุดๆ ในกิโลเมตรที่ 6 ว่าจะพอแค่นี้หรือไปต่อดี นั่นเพราะการล้มเลิก หยุดวิ่ง ถอดรองเท้าแล้วขึ้นรถกลับบ้าน มันเป็นเรื่องง่าย แต่การเอาชนะใจตัวเองแล้วก้าวต่อไปต่างหาก คือการที่เรากำลังแข่งขันกับตัวเอง แล้วคนที่เอาชนะหัวใจตัวเองได้นี่แหละถึงจะรู้ว่า มันรู้สึกฟินแค่ไหนในชีวิต 

2. การจะประสบผลสำเร็จได้ เราต้องยอมฝืนทำสิ่งที่มันยากลำบากบ้างในทางที
คุณตื่นมาวิ่งตอนเช้ามืด ในขณะที่ทุกคนยังหลับสบายอยู่บนเตียง คุณใส่รองเท้าแล้วออกไปวิ่งหลังเลิกงาน ขณะที่คนอื่นๆ กำลังไปดื่มปาร์ตี้แฮงค์เอ้าท์กันเมามัน หรืออย่างเรา เราเคยเข้านอนตอน 2 ทุ่ม เพื่อตื่นมากินกล้วยหอมอย่างงัวเงียตอนเที่ยงคืนก่อนจะออกไปวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่เริ่มปล่อยตัวในเวลาตี 2 

คำถามคือ เราทำสิ่งเหล่านี้ไปทำไม? 
เพราะเราอยากไปถึงเส้นชัยไงล่ะ เป้าหมายของนักวิ่งทุกคนคือการเข้าเส้นชัย แต่คุณจะเข้าไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่ยอมฝืนตื่นเช้ากว่าปกติ ไม่ยอมเหนื่อยหรือผ่านความยากลำบากในการฝึกซ้อมมาก่อน เช่นเดียวกันกับการทำงาน การทำธุรกิจ และการใช้ชีวิต คงเป็นไปไม่ได้เลยที่ Space X จะส่งนักบินขึ้นสู่อวกาศ ถ้าอีลอน มัสค์นอนตื่นเที่ยง เอาแต่ดูซีรี่ย์เกาหลี และเล่นเซิร์ฟสเก็ตสบายใจเฉิบ 

3. ทุกครั้งของการวิ่งมันอาจจะไม่เหมือนกัน ทุกวันของชีวิตก็เช่นกัน 
คนที่วิ่งเป็นประจำ หรืออาจกำลังซ้อมวิ่งตามแผนเพื่อลงแข่งในอะไรสักรายการจะรู้ว่า ต่อให้วิ่งเส้นทางเดิม ระยะทางเท่าเดิม แต่คุณจะไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้ง บางวันรู้สึกเหนื่อยมาก บางวันวิ่งฉิวชิลๆ พลังมาเต็ม แต่ทำไมบางวันกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน บางวันวิ่งแล้วสมองปลอดโปร่งเป็นพิเศษ ความแตกต่างของการวิ่งในแต่ละวันนั้นเกิดได้ทั้งจากอารมณ์ภายในใจ สภาวะร่างกายในแต่ละวัน อาหารที่เรากิน ไปจนถึงสภาพอากาศ ความรู้สึกที่แตกต่างในแต่ละวันของการวิ่งสอนให้เรายอมรับว่า ทุกๆ วันคือวันใหม่ มันต้องมีทั้งวันที่ดีและวันที่แย่ วันที่เราคาดเดาได้ หรือไม่เป็นไปตามคาด นี่แหละคือชีวิต เราแค่ต้องยอมรับ
 
4. การรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะหยุดพักบ้าง คือสิ่งสำคัญ 
มีคำพูดเท่ๆ อันนึงที่บอกว่า ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งสปรินท์ 400 เมตรรวดเดียวจบ และเมื่อมันคือการวิ่งระยะไกล จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะดันทุรังวิ่งไปแบบไม่มีแผน ไม่หยุดพัก ไม่รู้จักการผ่อนหนักเบา เพราะการทำแบบนั้นไม่เคยทำให้ใครไปถึงเส้นชัยได้แม้แต่คนเดียว (แม้แต่ เอเลียด คิปโชเก* ยังต้องมีแผนและเทคนิคการทำเวลากับทีม Pacer เบื้องหลังหลายสิบคน) และในโลกนี้ก็ไม่เคยมีใครที่สามารถวิ่งมาราธอนได้ถ้าไม่ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดี ใช้เวลากับการเทรนสมรรถนะร่างกาย ฝึกความอึด ความแข็งแรงต่างๆ และในช่วงเวลาของการฝึกซ้อมอย่างน้อย 3 – 6 เดือนของการเตรียมตัวไปวิ่ง 42K นี่ล่ะ ที่จะสอนให้เรารู้ว่า เราควรจะหยุดพักตอนไหน ที่จะส่งผลให้ร่างกายเราฟื้นฟูและไปต่อได้จนถึงเส้นชัยในที่สุด ไม่ต่างกันกับการใช้ชีวิต ที่เราได้เรียนรู้ว่า หลายๆ ครั้ง หากเราพักบ้าง ใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้างในเวลาที่ถูกที่ควร จะทำให้เราไปต่อได้แบบมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม 

5. ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดจาก ก้าวเล็กๆ ทุกก้าวที่ต่อกัน และการอยู่กับปัจจุบันคือสิ่งที่ดีที่สุด
ไม่มีอะไรจะอธิบายสิ่งนี้ได้ดีไปกว่า พี่ตูน บอดี้แสลม กับการวิ่งระยะทาง 2,215 กิโลเมตรในก้าวคนละก้าว จากเบตงไปแม่สาย ก็คือพี่ตูนจะไปถึงแม่สายไม่ได้เลย ถ้าไม่มีก้าวแรกที่ออกวิ่ง และทุกก้าวเล็กๆ ที่วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนครบ 55 วันที่ถึงปลายทาง

กลับมาที่คุณค่ะ การจะวิ่งให้ถึงเป้าหมายไม่ว่าจะ 5 กิโล 10 กิโล 42 กิโล หรือวิ่งให้ครบรอบสวนลุม ถ้าคิดดูดีๆ เราต้องการแค่ก้าวเล็กๆ ทุกก้าวต่อกันไปเรื่อยๆ แบบมีสติเท่านั้นเอง ที่เจ๋งไปกว่านั้น การวิ่งยังสอนให้เราโฟกัสกับปัจจุบันขณะ ให้เรามีสติรู้ตัวว่า มีก้อนหินหรืออุปสรรคอะไรอยู่ข้างหน้าที่เราต้องหลบหลีกรับมือ แทนที่จะมัวไปกังวลกับอนาคต การก้าวในปัจจุบันที่ดีที่สุดต่างหากที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทาง

และขอเพียงเราไม่หันหลังกลับทางเดิม เราจะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอน ไม่ว่าเส้นชัยนั้นจะเป็นจุดที่เราวางขวดน้ำรอไว้ในสวนลุม หรือแม่สายก็ตาม 
 
ขอให้ทุกคนเอ็นจอย แล้วหยิบรองเท้าออกไปวิ่งกัน
 
*(ปล.ใครไม่รู้จักคิปโชเก เขาคือนักวิ่งชาวเคนย่า ผู้ทำลายสถิติวิ่งมาราธอนระยะทาง 42.195 กม. จบในเวลา 1 ชั่วโมง 59.40 นาที ที่กรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย เมื่อตุลาคม ปี 2562 ก็คือเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนนี้) 
-->