5 คอนเซ็ปต์สู้ชีวิตจากเขาคนนี้ที่จะทำให้คุณ 'Healthy' และ 'มีพลัง'
ถ้าคุณยังไม่รู้จักชายหนุ่มผู้พิการที่ไร้แขนและขาคนนี้ เขาก็คือ นิค แซนโทนัซทัซโซ (Nick Santonastasso) อายุ 23 ปี อินฟลูเอนเซอร์นักพูดสร้างแรงบันดาลใจด้านสุขภาพและการใช้ชีวิตชาวอเมริกันที่เติบโตมาพร้อมภาวะพิการที่ชื่อว่า Hanhart Syndrome เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตในส่วนอวัยวะแขนและขาของเขา ทำให้ครึ่งหนึ่งของร่างกายนั้นหายไปเลย แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์เราก็คือ ทำไมเขาถึงแฮปปี้กับชีวิตได้ดี๊ดีขนาดนี้ เลยแอบส่องไอจีจากเจ้าตัวพร้อมนำแนวคิดชีวิตดีๆ จากเขามาฝากทุกคน และนี่คือ 5 แนวคิดสู้ชีวิตสไตล์นิคที่จะทำให้คุณฮึดสู้จนเอาชนะมรสุมในชีวิตได้ทุกทาง!
Concept #1 “มองข้ามสิ่งที่ขาด เปลี่ยนมันให้เป็นความท้าทาย...เพราะไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้”
เรานั่งฟังบทสัมภาษณ์ที่นิคเคยให้ไว้กับสำนักข่าว Today ในสหรัฐ ช่วงนั้นนิคอายุเพียงแค่ 12 ปี เขาให้คำตอบที่กินใจเรามาก ซึ่งเขาในวัย 12 ปี พูดว่า “ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ผมอยากลองทำนั่น ทำนี่ไปเรื่อย และมันคือความท้าทายด้วย คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าผมนั้นแตกต่าง เขาคอยให้กำลังใจ คอยผลักดันให้ทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มก็ให้ลุกขึ้นมาใหม่ อย่าท้อ”
วีดีโอในยุทุปนิคลงไว้เมื่อปี 2014
คุณพ่อของนิคเผยกับสื่อว่าเขาและภรรยาเลี้ยงดูนิคเหมือนกับลูกคนอื่นๆ โดยนิคมีกิจกรรมอดิเรกเหมือนคนทั่วไป เช่น เล่นเปียโน สเกตบอร์ด ตีกลอง พิมงานในคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เล่นบาสเก็ตบอล เห็นมั๊ยว่าแนวคิดดีๆ แบบนี้มาจากแหล่งพลังงานที่ดีที่สุดอย่างครอบครัวของเขายังไงล่ะ!
อย่างที่เราเล่าให้ฟังนั่นล่ะ เด็กชายนิคโตมาด้วยแรงแห่งรักที่พ่อแม่มีให้ และมันก็ทำให้เขาในวัย 22 ใช้ชีวิตเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง นิคสามารถที่จะใช้ชีวิตได้จนหลายคนแทบจะไม่คิดเลยว่าเขาจะทำได้จริงๆ เช่น การลงแข่งขันเพาะกาย ดันล้อรถยักษ์ เล่นมวยปล้ำ ขับรถ เล่นบาสเก็ตบอล ฝึกและเทรนในยิมเหมือนยิมนิสที่มีอวัยวะครบสามสิบสอง ซึ่งอย่าลืมนะ! ว่าเขาไม่มีแขนหนึ่งข้างและขาทั้งสองเลยด้วย ซึ่งต่อให้แขนที่เหลืออีกข้างยังมีอยู่ ก็ใช่ว่ามันจะเป็นรูปเป็นร่าง แถมยังทำให้เขาไม่สามารถหยิบจับสิ่งของได้เลยด้วย
Concept #2 อย่าอยู่ใต้คำตัดสินของคนอื่นที่บอกว่า “คุณทำไม่ได้” แต่จง “เฟ้นหาวิธีแก้” และฝ่ามันไปให้ได้
นิคเล่าว่า พ่อแม่ของเขาอีกนั่นล่ะที่่คอยสร้างมายเซ็ทว่าทุกครั้งที่ตัวเขาทำอะไรไม่ได้ อย่าบอกว่า “Can’t” ซึ่งแปลว่า “ทำไม่ได้” แต่ให้โฟกัสว่าควรจะทำยังไงให้สำเร็จมากกว่า “เพราะว่าในชีวิตของคนๆ นึง ผมมองว่าเกิดมาย่อมเจออุปสรรคที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ผมถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กเลย ให้ช่วยเหลือตัวเอง ก็ทำให้คิดได้แล้วว่าทุกวันเราต้องเผชิญปัญหาข้างหน้ายังไง พ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับผมได้ตลอดเวลา พวกเขาบิ๊วให้ผมต้องหยิบเสื้อผ้ามาใส่เอง ทานอาหารด้วยตัวเองให้ได้ พวกเขาไม่ประคบประหงมแต่เลือกที่จะโยนโลกแห่งความเป็นจริงใส่หน้าผม ”
นิคกับคุณพ่อและคุณแม่
เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จในชีวิตได้ถึงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเล่าต่อว่า
“เชื่อมั๊ย? หมอเคยทำลิสต์ให้พ่อแม่ผมนะ ซึ่งเขาเขียนบอกเลยว่า นี่คือสิ่งที่คนอย่างผมจะสามารถทำได้ แล้วอะไรบ้างที่คนอย่างผมทำไม่ได้ ซึ่งพ่อแม่ผมก็ไม่เชื่อในสิ่งที่หมอบอกนะ” แนวคิดนี้นิคใช้บอกกับทุกคนอยู่เสมอว่าให้ดูสิ่งที่พ่อแม่ของเขาพลิกและขยำคำพูดของหมอไปหมดสิ้นถ้าทำได้ล่ะก็ คุณจะไม่ยึดติดกับคำพูดของใครเลย
“เราไม่ควรปล่อยให้คนอื่นตัดสินแล้วเชื่อว่าตัวเราเองทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ แต่ให้เราหันมาถามตัวเองว่าตัวของเราทำอะไรได้บ้างและมีศักยภาพที่จะผลักดันฝ่าคำตัดสินเหล่านั้นไปได้ยังไง ในชีวิตของทุกคน ผมเชื่อว่าต้องเจอคนที่พูดแบบนี้และอยากให้ลองดูสิ่งที่พ่อแม่ผมทำแล้วนำไปปรับใช้ดูนะครับ”
Concept #3 “อย่าคิดว่าความสำเร็จได้มาง่ายๆ”
ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักเลือกที่จะโชว์ด้านที่เขาสำเร็จให้เราได้เห็นกันซะแล้ว นิคบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าชีวิตของคนๆ นั้นมันง่ายมากก นิคได้ยกตัวอย่างตอนที่ตัวเองเล่นสเก็ตบอร์ดได้ด้วยเทคนิค “handstand” ทุกคนคิดว่าง่าย เพราะเขาทำได้ง่ายๆ แต่เปล่าเลย เขาเล่าว่า ก่อนหน้านี้ต้องล้มลงจากตัวบอร์ดหลายต่อหลายครั้ง มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก
“ชีวิตคนที่เขาสำเร็จแล้วคือสิ่งที่คุณจะได้เห็นจากพวกเขา แต่คุณอาจไม่รู้หรอกว่าเขาต้องผ่านการปฏิเสธมากี่ครั้ง หรือหลายคนอาจจะบอกว่าคนๆ นั้นอาจไม่สวยมาก่อนแถมยังไมดีพอด้วย... ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าเส้นทางความลำบากของคนที่สำเร็จแล้วมันหฤโหดแค่ไหน”
วันสบายๆ ของเขา
Concept #4 “จงเป็นผู้เรียนรู้อยู่เสมอ”
แทนที่เขาจะทำให้คนสนใจและเห็นใจในความพิการของเขา นิคดันชอบที่จะพูดคุยและเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่เสมอ แถมไม่โฟกัสว่าตัวเองกำลังขาดอะไร หรือไม่เคยให้คนรอบตัวรู้สึกว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น ที่สำคัญเขาชอบพบปะพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ที่มากกว่าเขาด้วย นั่นก็เพื่อทำให้เขาเป็นคนที่มีความรู้และความสามารถในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“ผมชอบที่จะพบปะพูดคุยกับคนที่มีความรู้มากกว่าและร่ำรวยกว่าเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของพวกเขา นั่นก็เพื่อผลักดันให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น พัฒนาไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผมอยากให้ทุกคนจำไว้อีกว่าเมื่อคุณเรียนรู้จากผู้อื่น คุณก็อาจเป็นโอกาส เป็นประสบการณ์ หรือชิ้นส่วนของความรู้เล็กๆ ให้กับผู้อื่นได้ด้วย”
Concept #5 “ใช้ความบ้าระห่ำให้ถูกที่ถูกทาง”
ภายนอกเขาอาจดูแข็งแกร่งจนถึงขั้นเป็น CEO ของบริษัทฟิตเนส raw mettle motivations และผู้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ แต่ก่อนหน้าที่จะมีหุ่นฟิตและหล่อเหลาขนาดนี้ เขาเคยหยุดยอมแพ้ถึงขั้นจะไม่ฮึดสู้ชีวิตเลยนะ เพราะว่านิคเคยชอบเล่นมวยปล้ำ และฝันว่าอยากจะชนะ แต่ด้วยกับร่างกายของเขาทำให้ต้องแพ้พ่ายทุกครั้ง และภายหลังเมื่อเขารู้ว่าคุณแม่ของเขานั้นแท้งไปหลายครั้ง บวกกับตัวเขาเองคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการมีภาวะนี้ นั่นเลยจุดประกายให้นิคใช้ความบ้าระห่ำผลักตัวเองให้มาฟิตร่างกายอีกครั้ง แล้วเขาก็จะคอยบอกให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพกันด้วย เอาซะเราหาข้ออ้างสคิปวันไม่ได้เลยทีเดียว
ภายนอกเขาอาจดูแข็งแกร่งจนถึงขั้นเป็น CEO ของบริษัทฟิตเนส raw mettle motivations และผู้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ แต่ก่อนหน้าที่จะมีหุ่นฟิตและหล่อเหลาขนาดนี้ เขาเคยหยุดยอมแพ้ถึงขั้นจะไม่ฮึดสู้ชีวิตเลยนะ เพราะว่านิคเคยชอบเล่นมวยปล้ำ และฝันว่าอยากจะชนะ แต่ด้วยกับร่างกายของเขาทำให้ต้องแพ้พ่ายทุกครั้ง และภายหลังเมื่อเขารู้ว่าคุณแม่ของเขานั้นแท้งไปหลายครั้ง บวกกับตัวเขาเองคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการมีภาวะนี้ นั่นเลยจุดประกายให้นิคใช้ความบ้าระห่ำผลักตัวเองให้มาฟิตร่างกายอีกครั้ง แล้วเขาก็จะคอยบอกให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพกันด้วย เอาซะเราหาข้ออ้างสคิปวันไม่ได้เลยทีเดียว
เอาล่ะ! เราได้นำข้อมูลและพูดคุยกับเจ้าตัวมาแล้ว ขอบอกเลยว่านิคนี่ล่ะคือฮีโร่ของโลกใบนี้ เชื่อว่าคุณต้องตกหลุ่มรักกับความความน่ารักของเขาได้แบบไม่ทันตั้งตัว เอาเป็นว่าอย่าลืมนำแนวคิดเหล่านี้ไปใช้กับชีวิตกันด้วย ถ้าอยากติดตามผลงานและรับพลังงานบวกจากนิคก็ตามช่องทางนี้เลย
Instagram: nicksantonastasso / YouTube: Nick Santonastass