แผลหายไว ถ้ากินไข่ และอะไรอีก


 
ปกติแล้วร่างกายเราจะซ่อมแซมแผลเล็กๆ ให้หายเองได้ แต่หากกินอาหารเหล่านี้ช่วย ก็จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น
 
1.โปรตีน : โปรตีนจะช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหนัง ทำให้เซลล์สมานเร็วขึ้น ความเชื่อที่ว่าห้ามกินไข่หรือเนื้อสัตว์เดี๋ยวจะแสลงนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่ควรเลือกทานเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย เลือกเนื้อขาวให้มากกว่าเนื้อแดง เพื่อเลี่ยงการได้รับไขมันเลวมากเกินไป
 
2.วิตามินซี : จะมีฤทธิ์คล้ายโปรตีน ช่วยสังเคราะห์ใยคอลลาเจนและช่วยสร้างเส้นเลือดฝอย วิตามินซีนั้นสามารถกินได้ต่อเนื่องแม้แผลจะหายดีแล้ว ส่วนการกินวิตามินเอ น้ำมันตับปลาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเยื้อบุเซลล์และช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย แต่ก็ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นเมื่อแผลหายดีแล้วจึงควรหยุดกิน และหันมากินอาหารที่มีวิตามินเอตามธรรมชาติ เช่น ผักใบเขียว แคนตาลูป แครอท มันเทศ มะม่วง แตงโม มะละกอ จะดีกว่า
 
3.กลูโคส : กลูโคสเป็นพลังงานที่นำไปใช้ได้เร็ว ร่างกายก็จะไม่ต้องไปดึงพลังงานจากส่วนอื่นมาใช้ ทำให้พลังงานส่วนอื่นๆ นั้นทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ได้เต็มที่
 
4.ธาตุเหล็กและสังกะสี : ธาตุเหล็กมีมากใน บรอกโคลี ผักใบเขียว ช่วยนำออกซิเจนจากเลือดไปเลี้ยงบริเวณแผล ทำให้แผลสมานดีขึ้น ส่วนอาหารที่มีธาตุสังกะสี พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดถั่ว นอกจากจะช่วยสมานแผลแล้วยังกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่มีหน้าที่ผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยดูดซึมโปรตีนมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังได้ดีขึ้นด้วย
 
5.กรดไขมันไม่อิ่มตัว : กรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา และพวกถั่วเปลือกแข็ง ไขมันดีจะช่วยป้องกันการสลายโปรตีนในร่างกาย และยังซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ
 
6.น้ำ : ทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ นม ซุป ต่างช่วยให้เลือดไหลเวียนดี แผลจึงได้รับสารอาหารจากเลือดเต็มที่ แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะได้รับผลดี
 
นอกจากการกินอาหารที่เหมาะสมแล้ว ยังควร หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เลิกเครียด หากมีแผลบริเวณที่ต้องเคลื่อนไหวเช่น มือ แขน ขา เท้า ก็ควรให้ได้พักส่วนนั้น ทำการสวมผ้าคล้อง พันผ้าพันแผล หรือการวางมือ วางเท้าในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม และควรดูแลแผลให้สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ อย่างที่เราคุ้นชินกับคำว่า “ล้างแผล” ถ้าสะดวกก็ควรไปล้างที่โรงพยาบาลหรือคลินิก แต่หากมีความจำเป็นต้องทำเองก็ควรศึกษาวิธีการที่ถูกต้องเสียก่อน




 
-->