เลิกน้ำตาลนาน 1 เดือน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับร่างกาย
ถ้าเป็นเรื่องรัก จะเติมหวานเบอร์ไหนก็จัดเต็มคงไม่มีใครว่า แต่ถ้าคิดจะเติมน้ำตาลให้เมนูอาหารล่ะก็ขอให้หยุดดูตรงนี้ก่อน เพราะมีผลการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์จากวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน (The Journal of the American Medical Association) พบว่าคนกินน้ำตาลประมาณ 17-21% ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดต่อวัน จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่กินน้ำตาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8% ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดต่อวันมากถึง 38% ถ้างั้นลองมาชาเลนจ์ตัวเองดูหน่อยดีกว่าว่าถ้าเลิกกินน้ำตาล 1 เดือนจะเป็นไง#น้ำหนักลด
แน่นอนว่าสิ่งที่จะสังเกตเห็นได้เป็นลำดับแรกๆ คือตัวเลขบนตาชั่งที่ลดลงจนทำให้ใจฟู นั่นเป็นเพราะอาหารที่มีน้ำตาลสูง ก็จะมีปริมาณของแคลอรี่สูงด้วย แต่ไม่ใช่สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสักเท่าไหร่ ทำให้ถ้าลองสังเกตดูเวลาที่กินของหวาน ต่อให้จะกินอิ่มแค่ไหน แต่ยังไม่ทันไรก็หิวอีกแล้ว ด้วยเพราะร่างกายต้องการพลังงานสะอาด จากอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์ จึงทำให้ยังรู้สึกโหยต่อไปอยู่ดี
#ผิว (แลดู) สดใส
เพราะตัวการที่เข้าไปขัดขวางการทำงานของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นน้องน้ำตาล (คนดี) คนเดิม ซึ่งเมื่อสารทั้ง 2 ชนิดนี้ทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะส่งผลต่อเนื่องทำให้ผิวพรรณหยาบกร้าน และเกิดริ้วรอย ดังนั้นถ้าเลิกกินหวานได้เมื่อไหร่ คอลลาเจนและอิลาสตินก็ทำงานได้อย่างเต็มที่ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส และดูเด็กกว่าวัย ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาผิวหนังและสิวอักเสบก็จะลดลง ซึ่งถ้าตับไม่สามารถแปรรูป หรือร่างกายไม่สามารถขับออกทางเหงื่อได้ อาการอักเสบจะปรากฏบนผิวหนังในรูปแบบของสิวและแผลอื่นๆ อย่างที่เห็น
#(จิต) ใจแข็งแรง
มีงานวิจัยจากสถาบันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาบอกไว้ว่า เมื่องดน้ำตาลเป็นเวลาหนึ่ง ความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจจะลดลงถึงสามเท่า นั่นเพราะน้ำตาลที่ร่างกายได้รับจะไปเพิ่มระดับอินซูลินที่ทำหน้าที่กระตุ้นระบบประสาท ซึ่งทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น นั่นแปลว่าเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลเพิ่มขึ้น ร่างกายจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อย่อยอาหาร ส่งผลต่อเนื่องไปยังหัวใจ และตับ ที่ต้องทำงานไปด้วยเพราะต้องสูบฉีดไขมันเข้าสู่ระบบเลือดเพิ่มขึ้นนั่นเอง
#แฮปปี้กับชีวิต
น้ำตาลไม่ใช่สารแห่งความสุขอย่างที่ (เคย) เข้าใจ จริงอยู่ที่ว่าช่วงแรกๆ ที่ร่างกายได้รับอาจจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าจับสังเกตร่างกายต่อไปให้ดี ก็จะรู้สึกว่าพลังในร่างกายดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนต้องหันไปเติมน้ำตาลวนไป เพราะความสุขที่เกิดจากน้ำตาล เป็นเพียงความสุขระยะสั้นที่ไม่มีอยู่จริง
#(นอน) หลับเต็มตื่น
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมนอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะเมื่อร่างกายได้รับและมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดสูง จะทำให้สมองถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวอยู่ตลอดแม้แต่ในตอนกลางคืน จนทำให้นอนไม่หลับ นอกจากนี้น้ำตาลยังไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระดับพลังงานและวงจรการนอนหลับแปรปรวน แต่จะหันไปพึ่งน้ำตาลที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ก็จะเป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกาย ซึ่งไปรบกวนการนอนตอนกลางคืน เช่นเดียวกับความรู้สึกโหยเมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายลดลง ก็จะทำให้เกิดอาการง่วงในช่วงกลางวันได้เช่นกัน
#ฟื้น (คืน) ความจำ
ในสมองของเราจะมีสารบีดีเอ็นเอฟ (BDNF) ไม่ใช่ BDMS ที่เป็นเครือโรงพยาบาลนะ โดยสารตัวนี้จะทำหน้าที่สร้างแขนงและเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทมากมาย ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญกับการเก็บข้อมูลความทรงจำของมนุษย์ ซึ่งการกินน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จะไปชะลอการทำงานของสารตัวนี้ ทำให้เกิดอาการขี้หลงขี้ลืม ประสาทการรับรู้ทำงานไม่เต็มที่ และทำให้รู้สึกว่าสมองล้า
#เบาหวานทำอะไรไม่ได้
การกินน้ำตาลที่มากเกินไปจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตับมีไขมันพอกสะสม จนร่างกายออกอาการต้านสารอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่คอยจับน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงาน และส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนัก จนผลิตอินซูลินได้ช้าลง และเมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลมากเกินไป จนไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์กับเซลล์ก็จะตกค้างอยู่ในกระแสเลือด และก่อให้เกิดโรคเบาหวานนั่นเอง
แล้วแบบนี้คิดจะเลิก (กับน้อง) น้ำตาลได้ยัง เพราะถ้าเลิกได้ รับรองว่าคุ้มค่าทั้งเวลาและสุขภาพดีอย่างแน่นอน