เรื่องหนักใจคนผอมกับอาการกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

เรื่องกินไม่เคยแผ่ว เพราะกินแล้วไม่อ้วน...รู้เลยว่ามีหลายคนแอบอิจฉาและคิดว่าถ้าเป็นตัวเองนี่จะกินให้เต็มคราบเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ถึงจะมีทีมวิจัยนำโดยไอลีน โอโรวเค จาก College of Arts & Sciences, the School of Medicine's Department of Cell Biology and และ Robert M. Berne Cardiovascular Research Center จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่งานวิจัยผ่านวารสาร PLOS Genetics บอกว่า “ยีน” ที่สัมพันธ์กับความอ้วน มี 14 ตัวในร่างกายนำไปสู่ความอ้วน และมี 3 ตัวที่ช่วยให้น้ำหนักไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เพราะนอกจากเรื่องของยีนแล้ว อาการกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนยังอาจมีส่วนมาจากโรคได้เหมือนกัน



“กินไม่อ้วน” ควรต้องกังวล...มั้ย?
การมีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งในทางการแพทย์จะใช้ BMI (Body Mass Index) หรือค่าดัชนีมวลกายเป็นตัวกำหนดความอ้วนผอม ซึ่งคนที่มีค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 จัดว่าเป็นคนผอม และการที่น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์นั้นก็มักเกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานน้อยกว่าที่ควรจะได้รับต่อวัน และทำให้คนกลุ่มนี้เหนื่อยล้า ไม่มีแรง และอ่อนเพลียกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้การขาดพลังงานและสารอาหารในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเจ็บป่วยที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนี้
  • เกิดปัญหาด้านพัฒนาการ ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
  • มีภาวะขาดสารอาหาร ที่อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น โรคเลือดจาง ภูมิคุ้มกันต่ำลง และป่วยง่าย
  • กระดูกพรุน เนื่องจากขาดวิตามินดี แคลเซียม และสารอาหารที่จำเป็นต่อการรักษามวลกระดูก จนนำมาซึ่งภาวะกระดูกเปราะหักได้ง่าย และอาจมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว เมื่ออายุมากขึ้น
  • กระทบต่อปัญหาสุขภาพทางเพศ ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติและมีลูกยาก



กินไม่อ้วน มีส่วนมาจาก “โรค”
กินยังไงก็ต้องได้อย่างนั้น มันเป็นของธรรมดา แต่ถ้ากินเยอะแล้วไม่อ้วน ก็ไม่ควรอยู่เฉย หรือมัวแต่ดีใจ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโรคบางอย่างอยู่ก็ได้
  • ขาดสารอาหาร ถ้าใครที่เคยลดน้ำหนัก หรือรักสุขภาพแบบผิดๆ เลือกกินแต่ผักผลไม้ จนแทบจะไม่แตะอาหารที่มีแป้งหรือเนื้อสัตว์น่าจะพอเข้าใจ เพราะวิธีการนี้จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน เป็นเหตุให้กินเท่าไรก็ไม่อ้วน โดยอาจมาพร้อมอาการอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงร่วมด้วย
  • มีพยาธิในร่างกาย ยิ่งในร่างกายมีพยาธิอยู่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารมากเท่านั้น เพราะพยาธิจะคอยแย่งสารอาหารที่กินเข้าไป แถมยังทำให้ปวดท้อง ท้องเสียบ่อย และต่อให้จะกินอาหารมากเท่าไรน้ำหนักก็ไม่กระดิกขึ้น ซึ่งถ้าใครรู้ตัวว่ามีอาการเหล่านี้ให้รีบไปหาหมอ เพื่อตรวจหาพยาธิในลำไส้ จะได้ไม่ต้องรับบทคนเลี้ยงพยาธิอีกต่อไป
  • ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroid) หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายก็คือ ไทรอยด์ชนิดผอม เกิดจากความบกพร่องของต่อมไทรอยด์ ทำให้ระดับฮอร์โมนต่อมไร้ท่อในร่างกายถูกกระตุ้นให้เผาผลาญเกินความจำเป็น จนเป็นที่มาของอาการหิวบ่อย กินจุ และถึงจะกินมากแค่ไหนก็ไม่อ้วน โดยขืนปล่อยไว้อาจทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรง หรือท้องเสียได้ง่าย อีกทั้งอาจทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้เช่นกัน
  • อาการชีแฮน ซินโดรม (Sheehan Syndrome) ส่วนใหญ่จะเกิดกับคุณแม่ที่มีอาการตกเลือดรุนแรงระหว่างคลอดจนเลือดไปเลี้ยงต่อมใต้สมองไม่เพียงพอ ทำให้เนื้อบริเวณต่อมใต้สมองตายถาวร กระทบต่อการหลั่งฮอร์โมนไปควบคุมส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย คิดช้า และร่างกายซูบผอมในบางรายอีกด้วย
  • เบาหวาน เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่มีอาการเบื้องต้น คือ ผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้มากขึ้น แต่น้ำหนักกลับไม่เพิ่มตาม แถมยังจะลดลงอย่างรวดเร็วไปอีก สาเหตุจากในร่างกายของผู้ป่วยมีระดับอินซูลินในเลือดสูง เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลเข้าไป ก็จะขับออกผ่านทางปัสสาวะ เป็นผลให้ไตทำงานหนัก และเกิดกระบวนการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นตามไปด้วย
  • วัณโรค หรือโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง คนไข้จะมีอาการไข้ต่ำ เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลดลง 
  • ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Irritable bowel disease หรือ IBD) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร โดยผู้ป่วยลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังมักมีอาการท้องเสียเป็นหลัก แต่ในบางรายอาจมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ขาดสารอาหาร ถ่ายเป็นเลือด หรือน้ำหนักลดลง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
  • มะเร็ง เกิดจากการผิดปกติของเซลล์ในร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตหรือการตายตามธรรมชาติของเซลล์ปกติได้ ทำให้เซลล์ร่างกายมีการเจริญเติบโต หรือแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็ว จนมีอาการก้อนเนื้อโตขึ้น โดยในช่วง 6 เดือนแรก น้ำหนักตัวของผู้ป่วยจะลดลงอย่างชัดเจน

อ่ะ!  ให้ตอบอีกทีว่ารู้แบบนี้แล้ว ยังจะคิดว่าคนที่กินแล้วไม่อ้วนน่าอิจฉาอยู่อีกไหม?
-->