เมื่อ 'การนอนกรน' ไม่ใช่แค่เรื่องธรรมชาติ แต่เป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ต้องรีบแก้ไข


เสียงครืดๆ ของเรือวิ่งตอนกลางคืนที่เรามักจะล้อกันเล่นกับเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมตอนไปนอนบ้านเพื่อนหรือช่วงเข้าค่ายลูกเสืออาจจะไม่ใช่เรื่องตลกเมื่อเราโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เสียงครืดขณะนอนหลับหรือที่เราเรียกกันว่าเสียงของ “การนอนกรน” สำหรับวัยทำงานหรือวัยผู้ใหญ่อย่างเราอาจเป็นสิ่งที่รบกวนการใช้ชีวิตของเราได้ เพราะการนอนกรนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ต้องรีบแก้ไข



อาการนอนกรนเกิดจากอะไร
จากการศึกษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Harvard Medical School พบว่าผู้ชายมักพบปัญหาอาการนอนกรนมากกว่าผู้หญิงอาจเป็นด้วยสาเหตุจากสรีระและกายวิภาคของผู้ชายที่บางคนมีกล้ามเนื้อหรือมีไขมันที่มากอาจไปเบียดบังการหายใจในช่วงขณะนอนหลับได้ หรือหากคุณเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอาการนอนกรน เพราะอาการนอนกรนอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุทั้งความอ้วน น้ำหนักที่มากเกินไป ดื่มสุรา สูบบุหรี่จัด มีโรคประจำตัวอย่างภูมิแพ้ ไซนัส จมูกอักเสบ ต่อมทอนซิลโต หรือหากจะพูดถึงเรื่องอายุที่ทำให้ร่างกายของคนเราเกิดความหย่อนยานจนเนื้อเยื่อ ลิ้นหรือลิ้นไก่หย่อนไปขวางการหายใจเข้าออกตอนนอนหลับก็สามารถทำให้เรากรนได้เหมือนกัน 

ซึ่งอาการนอนกรนนั้นถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ นั้นเกิดจากการที่กล้ามเนื้อในช่องคอเกิดการคลายตัวหรือหย่อนขณะหลับช่องคอจึงแคบลงการหายใจจึงลำบากมากขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองสั่งการให้หายใจแรงขึ้นเพื่อให้ออกซิเจนเข้าร่างกายมากขึ้นจนเป็นแรงสั่นสะเทือนขณะหายใจจนทำให้เกิดเสียงกรนขึ้นมานั่นเอง และเมื่อสมองทำงานในขณะที่หลับเพื่อสั่งให้ร่างกายขยับตัวให้รับออกซิเจนมากขึ้นก็ทำให้เกิดอาการนอนหลับไม่เพียงพอ หลับๆ ตื่นๆ ตื่นมาแล้วงัวเงียไม่สดชื่นได้

ว่าด้วยเรื่องของ ‘เชื้อชาติ’
นอกเหนือจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือความโรยราของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้นที่ทำให้เกิดอาการนอนกรนแล้ว ยังมีการศึกษาของมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียและวารสาร “SLEEP” เคยตีพิมพ์ไว้เกี่ยวกับเรื่องชาติพันธุ์กับการปัญหาการนอนหลับหรือการนอนกรน ซึ่งพบว่าโครงสร้างของคนเอเชียก็มีส่วนที่ทำให้เกิดอาการนอนกรนได้เหมือนกัน เพราะคนเอเชียมีโครงสร้างของใบหน้าที่สั้น คอสั้นหน้าสั้นช่องทางเดินหายใจก็แคบเมื่อมีการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อภายช่องคอก็ทำให้เกิดอาการนอนกรนได้ง่ายมากขึ้น

ปัญหาสุขภาพจากการนอนกรน
แม้ว่าอาการนอนกรนอาจดูเป็นเรื่องปกติที่มักพบได้บ่อยในคนทั่วไป จนดูเป็นเรื่องปกติไปหมดแล้ว หากว่านอนกรนแล้วไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันหรือไม่เป็นปัญหาสุขภาพก็อาจเป็นเรื่องโชคดีไป เพราะอาการนอนกรนอาจเป็นสิ่งที่รบกวนน้อยสำหรับบางคนหรือเราอาจเรียกได้ว่าเป็นการนอนกรนชนิดที่ไม่อันตราย ก็คือการนอนกรนที่เกิดจากความหย่อนของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ลิ้นไก่ ลิ้นหรือกล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อนหย่อนคล้อยจนคอแคบกว่าปกติ ซึ่งเมื่อออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลงก็อาจมีปัญหาแค่สะดุ้งตื่นกลางดึกหรือนอนไม่พอเท่านั้นเอง 

แต่อาการนอนกรนที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ที่ควรนิ่งนอนใจ แพทย์จากโรงพยาบาลพญาไท 2 คุณหมอพลพร ได้เคยบอกไว้ว่า ในช่วงที่เราหลับนั้นสมองไม่ได้หยุดทำงานเลยซะทีเดียวแต่สมองกำลังทำงานเป็นการจัดระบบความจำระยะสั้นและความจำระยะยาว จัดระเบียบความคิดต่างๆ ซึ่งการนอนกรนจะทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้น้อยลงและไปหล่อเลี้ยงอวัยวะอื่นๆ ไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน เมื่อสมองจับได้ว่าออกซิเจนไม่พอก็จะต้องกระตุ้นให้ร่างกายให้ตื่นเพื่อหายใจรับออกซิเจนเข้าร่างกายมากขึ้น ทำให้การนอนหลับเป็นแบบหลับตื่นไม่ได้หลับลึกเท่าที่ควร ซึ่งหากทิ้งอาการนอนกรนไว้นานจนเรื้อรังอาจเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง และยังเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคสมองเสื่อมมากขึ้นด้วย 

มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอค้นพบว่าการนอนกรนและการหยุดหายใจระหว่างหลับนั้นมีความสัมพันธ์กับการหดตัวของสมองส่วนที่ใช้เก็บความจำ โดยผลการวิจัยนั้นแสดงให้เห็นว่าการหายใจผิดปกติหรือการนอนกรนอาจนำไปสู่ความเสียหายที่สมองและมีผลต่อความจำและใช้ความคิดได้ และสำหรับบางคนการนอนกรนอาจเป็นเรื่องที่เป็นปัญหารบกวนชีวิตมากกว่าที่คิดและเป็นภัยเงียบที่อาจคาดไม่ถึงก็ได้ ซึ่งการนอนกรนนี้แหละอาจเป็นสาเหตุของภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้เลยทีเดียว 

นอนกรนอาจทำให้หยุดหายใจขณะหลับได้
สำหรับคนที่มีปัญหาการนอนกรนแบบหนักหน่วงหรือก็คือมีความหย่อนของอวัยวะต่างๆ มาอุดกั้นและขวางทางเดินหายใจจนทำให้เกิดเสียงกรนที่ดังมาก เสียงกรนสะดุดไม่สม่ำเสมอ สำลักน้ำลาย มีอาการหายใจหอบเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ สะดุ้งตื่นกลางดึก เหล่านี้คือสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะเมื่อมีการหยุดหายใจเกิดขึ้นและออกซิเจนในเลือดลดลงถึงระดับหนึ่งจากการหยุดหายใจ ร่างกายจะมีการตอบสนองด้วยการทำให้ตื่นเหมือนสะดุ้งเฮือกขึ้นมาจากการนอน และเมื่อกลับไปนอนใหม่ก็เกิดภาวะหยุดหายใจเช่นเดิมและกลับมาสะดุ้งเฮือกใหม่อีกครั้งวนไปเรื่อยๆ กลายเป็นการนอนหลับไม่สนิท นอนไม่เพียงพอ นอนหลับไม่เต็มอิ่มในทุกๆ คืน สะสมจนกลายเป็นปัญหากับร่างกาย อาจกลายเป็นคนที่มีความดันโลหิตสูง  ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สมรรถภาพทางเพศลดลง

ดังนั้นหากสังเกตตัวเองแล้วว่ามีการนับชั่วโมงการนอนมาแล้วเป็นอย่างดี 6-8 ชั่วโมงคือเวลานอนปกติในทุกๆ วัน แต่ตื่นมาแล้วกลับรู้สึกอ่อนเพลียเหมือนนอนไม่พอ ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น พอสายหน่อยก็รู้สึกง่วง หรือสามารถหลับได้โดยไม่รู้ตัว อาการเหล่านี้อาจแสดงว่าเรานอนหลับไม่เต็มอิ่มหรือหลับไม่เพียงพอ และยังมีคนบอกอีกด้วยว่าตัวเราเองนอนกรนเสียงดัง อาจเป็นไปได้ว่าการนอนหลับไม่เต็มอิ่มนี้แหละเกิดจากอาการนอนกรนของเรา ซึ่งไม่ควรจะปล่อยอาการนี้ทิ้งไว้ให้เกิดเป็นสารพัดปัญหาโรคที่จะตามมา ควรรีบมาหาหมอเพื่อทำการรักษาหรือทำ Sleep Test เพื่อหาสาเหตุของอาการนอนไม่เต็มก็ได้ ก่อนที่อาการนอนกรนจะกลายเป็นอาการหยุดหายใจไปโดยที่ไม่รู้ตัวในอนาคตได้
-->