เชื่อมั๊ย? เฮลธ์ตี้ได้ง่ายๆ แค่รู้วิธีดูแลนาฬิกาชีวิต 'Body Clock'

ปกติถ้าใช้ชีวิตอยู่ในความเร่งรีบ การคอยเช็คว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว หรือการจัดสรรตารางเวลาเพื่อลำดับความสำคัญนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องพึงกระทำทั้งสิ้น เพราะไม่อย่างงั้น ข้อผิดพลาดต่างๆ อาจตามมาได้ เช่น ส่งงานเลท หรือตื่นสาย และขณะเดียวกัน การทำงานของร่างกายมนุษย์เราก็ไม่แตกต่าง เพราะเมื่อไหร่ที่นาฬิกาในร่างกายถูกจัดสรรได้ไม่ดีพอ สัญญาณความผิดปกติจะไปกระทบระบบร่างกายคุณได้ทันที แล้วเวลาในร่างกายคืออะไร? ส่วนนาฬิกาในร่างกายหน้าตาเป็นแบบไหน?  วันนี้เราอยากให้คุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน เพราะจริงๆ แล้วร่างกายของเราทุกคนนั้นมีนาฬิกาประจำตัวอยู่ ซึ่งมันสำคัญต่อสุขภาพมาก เราคอนเฟิร์มเลยว่าถ้าลองได้เข้าใจหลักการทำงานของมันด้วยแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถปรับช่วงเวลาชีวิตของตัวเองให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างลงตัวเลยล่ะ ! 

เพราะ Body Clock และเวลาในร่างกาย นั้นสำคัญ!

Photo by Karim MANJRA on Unsplash

อย่างที่บอกไปแล้วว่า บอดี้คล๊อกนั้น ถ้าเรียกง่ายๆ ก็คือนาฬิกาประจำร่างกาย ทุกส่วนของร่างกายคุณนั้น ล้วนเต็มไปด้วยนาฬิกาบอดี้คล๊อกขนาดจิ๋วแฝงอยู่ตามอวัยวะภายในและเซลล์ทั้งหมด เช่น ตับ ไต ลำไส้ และม้าม โดยทุกครั้งที่เกิดพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเครียด ความง่วง นาฬิกาจิ๋วเหล่านี้จะส่งสัญญาณเตือนพร้อมกันเพื่อให้ร่างกายรันระบบไปตามความรู้สึก หรือช่วงเวลานั้นๆ เช่น ให้คุณตื่นนอนในยามเช้าโดยไม่ต้องตั้งเวลาปลุก ทำให้คุณหิวโดยไม่ต้องรอให้ถึงเที่ยง ทำให้คุณนอนไม่หลับ เพราะว่าวันนั้นคุณมีเรื่องเครียด หรือทำให้คุณครึกครื้นยามดึก เพราะคุณชอบนอนดึกเป็นประจำนั่นเอง ทางเว็บไซต์ BBC ยังได้บอกไว้ด้วยว่า นาฬิกาในร่างกายนั้นจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อมีการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะร่างกายจะสามารถบูสต์ตัวเองได้เต็มที่จากการหลับเต็มอิ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาคุณจะรังสรรค์งานได้ดีเยี่ยม  แถมยังมีความกระปี้กระเปร่าอีกด้วย  

เมื่อ Body Clock ถูกรบกวน...จะเกิดผลกระทบต่อร่างกาย
เมื่อไหร่ที่นาฬิกาของร่างกายคุณถูกปลุกกลางดึก ทำให้นอนน้อย ถือว่าเมื่อนั้นการรบกวนระบบวงจรของร่างกายได้เกิดขึ้นแล้ว และนั่น! ถือเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมาได้ เว็บไซต์ theatlantic.com บอกไว้ว่า มีการศึกษาพบว่า การนอนหลับน้อยเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุจราจรบ่อยขึ้น ซึ่งสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบต่อมาอีกก็คือ เมื่อไหร่ที่นาฬิกาในร่างกายถูกปรับไว้แบบไม่เหมาะสม หรือถูกรบกวนต่อเนื่อง ผลกระทบต่อสุขภาพย่อมเกิดขึ้นตามมาได้ โดยความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณนั้น เราขอบอกว่าสามารถสังเกตได้ง่ายมาก คือทุกครั้งที่นอนผิดเวลา มีความเครียด เจ้าบอดี้คล๊อกหรือนาฬิกาจิ๋วจะส่งสัญญาณบอกทั่วร่างกายเพื่อเตือนให้คุณรู้ตัวเลยว่าร่างกายกำลังไม่โอเค คุณอาจจะเริ่มไอ เป็นหวัด ง่วงระหว่างวัน ท้องผูก อารมณ์ฉุนเฉียว ทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวคุณทันที 

หยุดทำลาย “บอดี้คล๊อก” แค่หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้
1.นอนดึก: การนอนดึกย่อมทำให้นาฬิการ่างกายปรับเปลี่ยนไปตามระยะเวลาของกิจกรรมต่างๆ ที่คุณทำ ไม่ว่าจะดูซีรีย์ หรือว่าเม้าท์มอยส์กับเพื่อนๆ ยิ่งการที่ต้องตื่นแต่เช้านั้น จะทำให้บอดี้คล๊อกสะดุ้งและปลุกคุณให้ตื่นมาในช่วงเวลาที่ร่างกายยังไม่พร้อมจะทำอะไรทั้งสิ้น เช่น คุณตั้งนาฬิกาปลุกเสียงดังเวลาตีสี่ โดยก่อนหน้านี้ เพิ่งเข้านอนตอนตี 1 และนี่! คือสาเหตุทำให้คุณสะลึมสะลือและง่วงนอนเหมือนคนมีอาการเจ็ทแลคก่อนไปทำงานในช่วงเช้าของทุกๆ วันยังไงล่ะ! 

2. ทานอาหารมื้อดึก:  การทานมื้อดึกนั้น นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังไปสร้างผลกระทบโดยตรงกับบอดี้คล๊อกในตับ ทำให้เจ้าตับนั้นทำงานหนักขึ้นนั่นเอง เว็บไซต์  BBC อธิบายไว้ว่า ระบบร่างกายของมนุษย์นั้นควรได้รับการพักผ่อน และนั่นเป็นช่วงระยะเวลาที่ตับจะได้พัก ฉะนั้นการทานมื้อดึกก็เท่ากับไปรบกวนอวัยวะส่วนนี้นั่นเอง

3. เครียด: อย่างที่รู้กันว่าความเครียดไม่เคยทำให้ใครมีความสุข ทุกครั้งที่เครียดร่างกายจะหลั่งสารความเครียดออกมา ทำให้ร่างกายคุณแปรปรวนตามไปด้วย เช่น เป็นโรคกระเพาะอาหาร มีสมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ได้แย่ลงนั่นเอง!


เห็นมั๊ย? ว่าร่างกายก็มีช่วงเวลาการทำงานที่ค่อนข้างเข้มงวดเหมือนกัน สรุปแล้ว เจ้านาฬิการ่างกายก็คือเครื่องจับเวลาบอกช่วงเวลาสำคัญในร่างกายของคุณว่าควรจะจัดสรรเวลาพักผ่อนยังไงให้เหมาะสมในแต่ละวันบ้าง ถือว่าช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพของคุณได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น เราหวังว่าทุกคนจะดูแลทั้งนาฬิกาชีวิตกับนาฬิการ่างกายอย่างเข้าใจแบบควบคู่กันไป จัดสรรเวลาพักผ่อน เข้านอนให้เต็มที่ต่อวันอย่างน้อย 6-8  ชม. อย่าลืมว่าควรเข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม และไม่ออกกำลังกายยามดึกช่วงหลังสองหรือสามทุ่ม เพราะว่าใกล้เวลาเข้านอนเกินไปนั่นเอง เอาล่ะ! แค่เพียงเท่านี้ คุณก็จะแข็งแรง ทั้งสุขภาพใจและกายได้แบบไม่ต้องพบคุณหมอบ่อยๆ แล้วล่ะ!
-->