ลิ้นเป็นฝ้า หรือจะเป็นสาเหตุของมะเร็ง?
อย่าหาว่าไม่ปกติเลยนะ ถ้าอยู่ๆ จะเห็นคนข้างๆ ลุกขึ้นมาแลบลิ้นให้ตัวเองหน้ากระจก เพราะถึงแม้ว่ามะเร็งลิ้นจะไม่ติดอันดับ Top 5 แต่จากตัวเลขสถิติก็พบว่าโอกาสการเป็นมะเร็งลิ้นนั้นอยู่ที่ 0.8 - 1.5% ของเนื้องอกร้ายทั้งหมดในร่างกาย ซึ่งคิดเป็น 5 - 7.8% ของมะเร็งบริเวณลำคอ และ 32.3% - 50.6% ของมะเร็งในช่องปาก โดยในจำนวนนี้จะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง แถมยังมีงานตีพิมพ์ในนิตยสารการแพทย์ New England Journal ระบุว่า ร้อยละ 50 ของมะเร็งในช่องปากเกี่ยวข้องกับไวรัสเอชพีวี และมาจากการทำออรัลเซ็กส์ ยิ่งหากทำออรัลเซ็กซ์ให้คน 5 คนขึ้นไปโดยไม่ป้องกัน มีโอกาสมากกว่าคนทั่วไป 9 เท่าที่จะเกิดมะเร็งทอนซิลและมะเร็งลิ้นได้ เพราะเหตุนี้ก็เลยต้องหันมาสังเกตตัวเองหน่อยแล้วว่าที่ชอบเป็นฝ้าที่ลิ้น จะใช่สาเหตุจากมะเร็งไหมนะเรียน-รู้-เรื่อง-ลิ้น
ลิ้น คืออวัยวะที่มีลักษณะสากที่ด้านบน ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและต่อมรับรส ได้แก่ บริเวณปลายลิ้น จะรับรสหวาน ส่วนบริเวณข้างลิ้นส่วนต้น ทำหน้าที่ชิมรสเค็ม ในขณะที่ด้านข้างลิ้นส่วนใน จะทำหน้าที่ชิมรสเปรี้ยว ร่วมด้วยโคนลิ้นที่จะทำหน้าที่รับรสขม นอกจากจะมีหน้าที่ในการลิ้มรสแล้ว ลิ้นยังทำหน้าที่สำคัญอีกอย่างคือ ช่วยในการพูด การออกเสียงต่างๆ และช่วยในการเคี้ยวกลืนอาหารด้วย
ลิ้นเป็นฝ้า ที่มาของมะเร็ง?
ลิ้นเป็นฝ้า (White Tongue) เป็นอาการที่เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียหรือเชื้อรา รวมกับเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งติดอยู่ระหว่างตุ่มเล็กๆ บนเนื้อลิ้น ซึ่งไม่จัดเป็นโรค และมักจะอยู่เพียงชั่วคราว ซึ่งหากว่าอาการลิ้นฝ้ายังไม่หายไปหลังจากแปรงลิ้นบริเวณที่เป็นฝ้าเบาๆ หรือหลังจากดื่มน้ำจำนวนมาก โดยกินระยะเวลานานว่า 2 สัปดาห์ ดูท่าไม่น่าจะใช่เรื่องธรรมดาแล้ว เพราะเป็นไปได้ที่จะมีการติดเชื้อหรืออาการร้ายแรงอื่นๆ เช่น มะเร็ง ซึ่งแม้ว่าในระยะแรกเริ่มของมะเร็งอาจยังไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ แต่สิ่งที่จะพอสังเกตได้คือ การเกิดแผลเรื้อรังบริเวณลิ้น เจ็บลิ้นและมีเลือดออกง่าย หรือเนื้อบริเวณนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดง บางรายอาจปวดบริเวณปากและลิ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ร่วมกับการเกิดฝ้าสีขาวหรือสีแดงบนลิ้นที่ไม่หายไป ได้แก่
- เจ็บคอเรื้อรัง
- ปากชาเรื้อรัง
- เจ็บเมื่อกลืนอาหาร
- เลือดออกที่ลิ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เกิดก้อนที่ลิ้น
พฤติกรรมที่ (อาจ) นำมาซึ่งมะเร็ง...ลิ้น
แม้ว่าสาเหตุที่มาของการเกิดโรคมะเร็งลิ้น จะยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัด แต่ก็ได้มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเหล่านี้ ดังนั้นทางที่ดีถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า
- สูบบุหรี่ ซึ่งจะทำให้ปุ่มของลิ้นอักเสบ จนนำไปสู่การสะสมของเซลล์ที่ตายแล้ว โดยสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- เคี้ยวหมาก เพราะ ส่วนผสมของการห่อหมากเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น ปูนแดง และปูนขาวในหมากเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความระคายเคืองในช่องปากจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การก่อตัวของมะเร็งและเนื้อร้ายจากสารเคมีอื่น ๆ ที่ตามมาอีกด้วย
- ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลให้ปุ่มของลิ้นเกิดการอักเสบ รวมถึงทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำด้วย
- ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลิ้นและมะเร็งชนิดอื่นๆ ตามมาได้
- มีประวัติคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งช่องปากหรือมะเร็งลิ้น
- กินผักและผลไม้น้อยเกินไป จนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งช่องปาก เพราะการกินใยอาหารให้ได้วันละ 30 กรัม และรับประทานผัก ผลไม้ ไม่น้อยกว่า 400 กรัม/ต่อมื้อ จะช่วยให้ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้
- ละเลยการดูแลสุขภาพในช่องปาก
- มีการเจ็บป่วยด้วยโรคซิฟิลิส เพราะหากทำออรัลเซ็กส์แล้วมีแผลในช่องปากก็อาจเป็นสาเหตุการเกิดมะเร็งในช่องปากหรือมะเร็งลิ้นได้ด้วยเช่นกัน
ลิ้นสะอาด ปราศจากฝ้า
เพราะการทำความสะอาดลิ้นนอกจากจะเป็นการสร้างบุคลิกที่ดีแล้ว ยังเป็นการตรวจสุขภาพลิ้นด้วยตัวเองไปในเวลาเดียวกัน เพื่อที่ว่าหากมีความผิดปกติเกิดขึ้น จะได้รู้ตัวและทำการรักษาแต่เนิ่นๆ ซึ่งการทำความสะอาดลิ้นสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการแปรงลิ้น หรือใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดลิ้น โดยทำการขูดจากโคนลิ้นมาทางด้านหน้าของลิ้น ประมาณ 3 - 4 ครั้ง วันละ 2 เวลา คือตอนเช้าหลังตื่นนอน และก่อนเข้านอน หรือทุกครั้งหลังแปรงฟัน ทั้งยังสามารถเพิ่มตัวช่วยด้วยการหยอดเกลือเล็กน้อยบนลิ้น แล้วแปรงลิ้นประมาณ 1 นาที จากนั้นบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ทำแบบนี้ 2 ครั้งต่อวันเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังไม่ควรปล่อยให้ร่างกายการสูญเสียน้ำจนนำมาซึ่งอาการปากแห้ง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดลิ้นเป็นฝ้าขาวได้ ซึ่งการดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างวันจะช่วยป้องกันได้