ต่อให้อายุมาก ก็ยังเป็นสิว (ฮอร์โมน) ได้ !



เมื่อพูดถึงสิวฮอร์โมน...นั่นก็แปลว่าเรากำลังพูดถึงสิวที่เกิดจากการผันผวนของฮอร์โมน แต่สิวที่ว่านี้ไม่ได้เกิดแค่เฉพาะในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นวัยเจริญพันธุ์ที่ยังมีประจำเดือนหรือเข้าสู่โหมดวัยหมดประจำเดือน ช่วงที่ร่างกายมักเกิดฮอร์โมนไม่สมดุลแบบนี้ “สิวฮอร์โมน” ก็จะยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งการควบคุมระดับฮอร์โมนมันอาจจะยากเกินความสามารถของเราไปซักหน่อย งั้นน่าจะดีกว่า...ถ้าเรารู้วิธีจัดการกับเจ้าสิวตัวร้ายนี้!!  



ตอนวัยรุ่นไม่ค่อยมีสิว แล้วทำไมมาเป็นตอนอายุ 40 ได้นะ!
หลายคนคงเข้าใจว่าช่วงวัยรุ่นไม่ค่อยจะมีสิวกวนใจ งั้นพออายุมากขึ้น เราก็คงจะยังหน้าเนียนไร้สิวอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้ว ในช่วงอายุ 40 หรือแม้จะแตะ 50 แล้วก็ยังมีโอกาสมีสิวฮอร์โมนเกิดขึ้นได้ โดยมีการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปีนั้น จะมีโอกาสเกิดสิวฮอร์โมนได้มากถึง 50% ส่วนวัยเลข 4 หรือช่วงอายุ 40-49 ปี ก็ยังมีโอกาสเกิดสิวฮอร์โมนได้อยู่ และมีโอกาสถึง 25% ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวในวัยใกล้หมดประจำเดือนหรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว นั่นก็เพราะว่าระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง หรือร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน(ฮอร์โมนสำคัญของเพศชาย)เพิ่มมากขึ้น โดยตำแหน่งของสิวก็จะเปลี่ยนจากบริเวณ T-zone แบบในวัยรุ่น มาเป็นบริเวณส่วนล่างของใบหน้า ส่วนล่างของแก้มและรอบๆ กรามแทน

เคลียร์ “สิวฮอร์โมน” ด้วยเคล็ดลับจากธรรมชาติ
ในการรักษาสิวฮอร์โมนที่ได้รับความนิยมกันมาก มักจะเป็นในเชิงทางการแพทย์ เช่น การกินยาคุมกำเนิด แต่สำหรับสายเลือด health addict เรามีสูตรรักษาสิวจากธรรมชาติที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้านของคุณเอง
  • สูตร Tea Tree Oil
สำหรับเคล็ดลับการรักษาสิวด้วย tea tree oil นั้น ต้องมีการเจือจาง...โดยผสมเข้ากับน้ำมันพาหะ อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว, jojoba oil หรือน้ำมันมะกอก โดยอัตราส่วนในการผสม คือ น้ำมันพาหะจำนวน 12 หยดต่อ tea tree oil 1-2 หยด ซึ่งแนะนำว่าให้ทำการทดสอบอาการแพ้ โดยเทสกับผิวบริเวณด้านในของแขน หากไม่มีอาการระคายเคืองอะไรก็สามารถนำไปทาบริวณที่เป็นสิวได้
  • สูตร Apple Cider
ในแอปเปิ้ลไซเดอร์มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสหลายชนิด เพราะอุดมไปด้วยกรดอะซิติก, ซิตริก, แลคติค และกรดซัคซินิก ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาที่เชื่อถือได้ โดยมีการทดสอบให้คนจำนวน 22 คนใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดแลคติคทาบนผิวหน้าเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี พบว่าปัญหาสิวลดลงกว่าครึ่ง รวมถึงช่วยลดปัญหารอยแผลเป็นจากสิว(เดิม)ได้อีกด้วย

แต่เพราะความเป็นกรดของแอปเปิ้ลไซเดอร์อาจส่งผลต่อผิว จึงควรนำแอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1:3 หรือเพิ่มปริมาณน้ำมากขึ้นหากมีผิวบอบบาง หลังล้างน้ำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ให้ชุบสำลีในส่วนผสม...แล้วบิดเบาๆ ให้สำลีหมาดๆ เช็ดบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5-20 วินาที ล้างออกด้วยน้ำแล้วซับให้แห้ง โดยทำซ้ำ 1-2 ครั้งต่อวัน
  • สูตร Green Tea
นับว่าเป็นอีกสูตรที่มีงานศึกษามาแล้วว่า การทาน้ำชาเขียวติดต่อกัน 15 วัน สามารถช่วยลดการผลิตซีบัมได้มากถึง 27% ซึ่งซีบัมก็คือสารที่ถูกต่อมไขมันผลิตขึ้นเพื่อทำหน้าที่เคลือบผิวหนัง ทำให้เรารู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น แต่หากซีบัมถูกผลิตมากเกินไปก็จะเกิดการอุดตันรูขุมขนกลายเป็นสิวได้นั่นเอง
  • สูตร Avocado
หากคุณเคยแก้ปัญหาเรื่องสิวด้วย Zinc แล้วล่ะก็ การใช้น้ำมันอะโวคาโดหรือเนื้ออะโวคาโดสุกมาทาบริเวณที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดสิว...ก็นับว่าน่าจะตอบโจทย์ เพราะอะโวคาโดมีส่วนช่วยในการยับยั้งเอนไซม์ 5-alpha reductase ลดฮอร์โมนเพศที่เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของต่อมขับน้ำมันที่ผิว จึงส่งผลให้ความมันบนใบหน้าลดลง

ไม่ค่อยมีเวลา ปรับการกินดูมั้ย...ช่วยลดสิวฮอร์โมนได้นะ!
ถ้าสูตรการดูแลสิวให้ห่างไกลสิวที่เรานำมาฝากยังไม่โดนใจ เพราะเวลามีน้อยต้องใช้สอยเรื่องอื่น อยากจะบอกว่า “ปรับการกิน” ก็เป็นอีกไอเดียที่ช่วยลดปัญหาเรื่องสิวฮอร์โมนได้เหมือนกัน โดยอาหาร 4 ประเภทที่ควรลด ละ ถ้าอยากมีใบหน้าไร้สิว ก็คือ น้ำตาล, ผลิตภัณฑ์จากนม, คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี เช่น ขนมปังขาวหรือพาสต้า และเนื้อแดง ในขณะเดียวกัน ควรเน้นทานอาหารกลุ่มที่มีไฟเบอร์สูง เพราะงานวิจัยในอเมริกาแสดงให้เห็นว่า ไฟเบอร์สามารถลดฮอร์โมน DHT และ DHEA ที่มีผลกระตุ้นให้เกิดสิว โดยปริมาณแนะนำคือ 25 กรัมต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 38 กรัมต่อวันสำหรับผู้ชาย  


 
-->