ซื้อ ‘หม้อทอดไร้น้ำมัน’ เป็นของขวัญจับฉลากดีมั้ย?

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งไอเท็มสายสุขภาพที่ฮิตกันมาอย่างยาวนานในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนเราปิ๊งไอเดียว่างั้นจับฉลากกับเดอะแก๊งค์ปีนี้ จะซื้อ ‘หม้อทอดไร้น้ำมัน’ มาเป็นของขวัญจับฉลากไปเลยดีกว่า ว่าแต่มาเมคชัวร์กันก่อนว่าเจ้าหม้อทอดไร้น้ำมันนั้นมันดี และเฮลธ์ตี้อย่างที่เขาว่ากันจริงใช่มั้ย?



จริงมั้ย? ที่เขาบอกว่ามันช่วยลดไขมันได้
ส่วนใหญ่ที่เราได้ยินเมนูยอดฮิตที่ใช้หม้อทอดก็จะเป็นพวกเมนูทอดๆ ซะมากกว่า ซึ่งมีผลการศึกษาที่เปรียบเทียบลักษณะการทอดเฟรนช์ฟรายด้วยการทอดในกระทะที่มีน้ำมันท่วมกับการทอดในหม้อทอดไร้น้ำมัน เมื่อปี 2015 ของ Teruel Mdel R. พบว่าการทอดด้วยหม้อทอดไร้น้ำมันนั้นช่วยลดไขมันลงได้จริง ซึ่งเมื่อไขมันน้อย แคลอรี่ก็ดูจะน้อยตามไปด้วยนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังจะได้ยินกระแสในแง่ลบต่างๆ เกี่ยวกับผลเสียที่ส่งผลต่อสุขภาพอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน

แต่ก็มีบางคนพูดว่า มันลดไขมันตัวดี และเพิ่มไขมันตัวไม่ดี
และหนึ่งในนั้นข้อโต้แย้งนั่นก็คือมันมีการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของการใช้หม้อทอดไร้น้ำมันต่อปริมาณคอเลสเตอรอลและกรดไขมัน (Fatty Acid) ในปลาซาร์ดีน เมื่อปี 2017 ซึ่งปรากฎว่าการทอดปลาซาร์ดีนในหม้อทอดไร้น้ำมันนั้นดันไปลดปริมาณไขมันดีหรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (poly-unsaturated fats) ที่เชื่อกันว่าไขมันตัวนี้มีส่วนในการช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังไปเพิ่มคอเลสเตอรอลซ้ำเข้าไปอีก

และพวก 'สารก่อมะเร็ง' ล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางงานวิจัยที่ออกมาซัพพอร์ตการใช้หม้อทอดไร้น้ำมันอยู่ไม่น้อย เพราะเขาบอกว่าการใช้หม้อทอดไร้น้ำมันนั้นสามารถช่วยลดสิ่งที่เรียกว่า สารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) สารเคมีที่เกิดขึ้นในอาหารพวกอบกรอบ ทอด ปิ้ง คั่วต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นสารก่อมะเร็งได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับการทอดด้วยกระทะธรรมดาที่ใส่น้ำมันอย่างท่วมท้น และนอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณสารคาร์สิโนเจน ที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่ที่ความร้อนมากกว่า 120 องศาเซลเซียสลงได้ด้วย  

เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ถึงประโยชน์และโทษของการใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน ซึ่งถึงแม้ว่าการทำอาหารโดยใช้หม้อทอดไร้น้ำมันจะดูเหมือนเป็นทางเลือกของสายเฮลธ์ตี้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าอาหารนั้นก็ยังเป็นประเภทของทอดอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักต่อร่างกาย เพราะของทอดนอกจากจะไปเพิ่มความอ้วนแล้ว ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ รวมถึงโรคมะเร็งอื่นๆ ได้อีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้ แต่ควรจะใช้เป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ทุกวันเป็นกิจวัตร เพราะยังไงทางนักโภชนาการเองก็ยังแนะนำให้ทานอาหารที่ผ่านกระบวนการต้ม ตุ๋น หรือนึ่งจะดีกว่า 

 
-->