ใช้น้ำประปาล้างตา เสี่ยงเชื้อปรสิตขึ้นตาจริงเหรอ
จากประเด็นข่าวเรื่องเชื้อปรสิตที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำประปาของคอนโดแห่งหนึ่ง จนลูกบ้านตาอักเสบกันไป 200 คน ข่าวนี้ทำเอาหลายคนหวั่นใจว่า เอ๊ะ…แล้วน้ำประปาในบ้านที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนั้นปลอดภัยจริงหรือเปล่า? เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตาอักเสบจากปรสิตมากแค่ไหน และอาการตาแดงของเราที่ผ่านมา จริงๆ แล้วมันคือโรคตาอักเสบจากปรสิตหรือเปล่านะ? มาฟังคำตอบจากจักษุแพทย์กันแบบชัดๆ กัน
พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ จักษุแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคต้อหิน โรงพยาบาลวิมุต อธิบายโรคตาอักเสบจากกรณีนี้ “โรคนี้เรียกว่ากระจกตาติดเชื้อไมโครสปอริเดีย (Microsporidial Keratitis) เกิดจากการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อปรสิตกึ่งราไฟลัมไมโครสปอรา ซึ่งเชื้อกลุ่มนี้พบได้บ่อยในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำโคลน น้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่ไม่ได้มาตรฐาน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่มีประวัติน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หรือทีมนักกีฬารักบี้ที่แข่งขันแล้วไปล้มคลุกในแอ่งโคลนแล้วเกิดการติดเชื้อของสมาชิกในทีมพร้อมๆ กัน
เจอเชื้อเดียวกัน…อาจมีอาการไม่เหมือนกัน
ไมโครสปอริเดียจัดเป็นเชื้อฉวยโอกาส มักแสดงอาการติดเชื้อในอวัยวะที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นดวงตา หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานและสภาวะของแต่ละบุคคล ในคนที่ภูมิคุ้มกันปกติ มักจะติดเชื้อที่ดวงตา ทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตาและชั้นผิวตาส่วนนอก โดยอาการมักไม่รุนแรงถึงขั้นทําให้ตาบอดหรือต้องเปลี่ยนถ่ายกระจกตา แต่ถ้าเป็นคนที่ใส่คอนแทคเลนส์และตาแห้งมีแผลกระจกตาหรือเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง หรือเคยมีโรคเกี่ยวกับดวงตา เคยผ่าตัดตา ก็อาจจะทําให้การติดเชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ปกติ เช่นคนที่มีโรคประจําตัวอย่างเบาหวานเรื้อรังที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิเป็นเวลานาน หากสัมผัสเชื้อก็อาจจะทําให้การติดเชื้อลุกลามไประบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่นระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอุจจาระร่วงเรื้อรัง ถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีอักเสบ จนถึงการติดเชื้อแพร่กระจายหลายระบบในร่างกายได้
กระจกตาอักเสบไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่โรคตาแดงจากไวรัส รักษาผิดอาจทำเชื้อลุกลาม
การแยกแยะโรคตาแดงด้วยตนเองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์ สำหรับการติดเชื้อปรสิตที่กำลังพูดถึงนี้ มักจะเกิดการติดเชื้อหนึ่งข้างได้บ่อยกว่าสองข้างพร้อมๆ กัน โดยตาที่ติดเชื้อมักจะมีอาการระคายเคือง ตาแดง ตามัว น้ำตาไหล มีขี้ตาออกมากกว่าปกติ ซึ่งอาการอาจจะทับซ้อนกับโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสหรือภาวะภูมิแพ้ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่าย
วิธีสังเกตเบื้องต้นคือโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสทั่วไปอาจจะเกิดอาการไล่เลี่ยกับการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ มักมีประวัติสัมผัสโรค และพบการติดเชื้อสองตาพร้อมกันได้บ่อยกว่า เนื่องจากไวรัสมีความสามารถในการแพร่กระจายสูงกว่าเชื้อปรสิต โดยมากโรคตาแดงจากไวรัสมักอาการไม่รุนแรง อาจเกิดการอักเสบที่เยื่อเหนือตาขาวเป็นหลักโดยกระจกตาอาจไม่เกิดแผล ส่วนใหญ่จึงหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษาจำเพาะ
แต่เชื้อปรสิตตัวนี้มักจะเกิดการอักเสบที่กระจกตาโดยตรง ทำให้เกิดตาแดงชนิดที่รอบตาดำมีลักษณะแดงกว่าจุดอื่น (Ciliary Injection) ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบในลูกตาหรือกระจกตา แต่ไม่จำเพาะเจาะจงการอักเสบในดวงตา หรือเชื้ออื่นๆ ที่ทําให้เกิดการติดเชื้อบนตาดํา ล้วนแต่ทำให้มีอาการคล้ายกันได้ ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะโรคนี้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าได้รับการตรวจวินิจฉัยหน้ากล้องขยาย จะเห็นรอยโรคบนกระจกตาที่มีลักษณะจำเพาะของเชื้อชนิดนี้ ทำให้สามารถวินิจฉัยได้
เชื้อปรสิตไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่ “ไรขนตา”
อีกหนึ่งความเข้าใจผิดคือเชื้อปรสิตไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่ “ไรขนตา” เพราะไรขนตา (Demodex) เป็นปรสิตอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเชื้อประจำถิ่น สามารถพบได้บนใบหน้าและรอบดวงตาอยู่แล้ว โดยปกติมักไม่ก่อโรคและไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ถ้าไรขนตามีจำนวนมากจนร่างกายขาดสมดุลก็จะก่อให้เกิดอาการเปลือกตาและผิวหน้าอักเสบแดงได้ สร้างความเดือดร้อนรําคาญและรบกวนการใช้ชีวิตประจําวัน นอกจากนี้แล้วยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อชนิดอื่นเพิ่มเติม เพราะกลไกป้องกันการติดเชื้อบกพร่อง ซึ่งจะแตกต่างจากการติดเชื้อที่ผิวกระจกตาโดยตรง
การรักษากระจกตาอักเสบจากเชื้อไมโครสปอริเดีย
แพทย์ต้องใช้ยาควบคู่หลายตัว ทั้งแบบรับประทานและแบบหยอด สิ่งสำคัญคือคนไข้ไม่ควรซื้อยากินหรือยาหยอดเอง โรคตาแดงทั่วไปที่เกิดจากเชื้อไวรัสหากการอักเสบเป็นมากสามารถให้สเตียรอยด์เพื่อลดอาการตาแดงได้ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อปรสิตตัวนี้ หากผู้ป่วยได้รับยาสเตียรอยด์ ตัวโรคจะแย่ลงเนื่องจากยาเสตียรอยด์จะกดการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เชื้อเพิ่มปริมาณทวีคูณในดวงตามากขึ้น อาจเกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้างและต้องใช้เวลารักษานานขึ้น และผลการรักษาอาจจะแย่ลง
อย่าใช้น้ำประปาล้างตา เสี่ยงทั้งปรสิตและสิ่งปนเปื้อน
เพราะน้ำประปาไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับดวงตา การใช้น้ำประปาล้างตาจึงเกิดอันตรายได้ ถึงแม้ว่าน้ำประปาที่ได้มาตรฐานจะผ่านการฆ่าเชื้อก่อโรคด้วยคลอรีน แต่คลอรีนเองก็ทำให้เกิดการอักเสบระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อดวงตา ซ้ำร้ายถ้าน้ำประปานั้นไม่ได้มาตรฐาน เช่นมีค่าคลอรีนต่ำกว่าเกณฑ์ ก็อาจจะมีเชื้อก่อโรคปะปน และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตา
ให้ใช้น้ำประปาล้างตาได้ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น เช่น เมื่อมีสารเคมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเข้าตา ต้องปฐมพยาบาลโดยการรีบล้างออกด้วยน้ำที่สะอาดที่สุดเท่าที่มีในปริมาณมากทันที แต่สำหรับในชีวิตประจำวัน คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องล้างตา ยกเว้นแต่จะมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ให้เลือกใช้น้ำเกลือหรือน้ำตาเทียม เพราะทั้งสองอย่างนี้ปลอดเชื้อและปลอดภัยที่สุด โดยขั้นตอนการล้างตาต้องระวังไม่ให้น้ำสัมผัสหรือไหลผ่านเปลือกตา ขนตา หรือผิวหนังรอบดวงตา เพราะอาจได้รับสิ่งสกปรก สารเคมี หรือเชื้อโรคปนเปื้อนกับน้ำจากบริเวณดังกล่าวเข้าสู่ดวงตา แพทย์ส่วนมากเลยไม่แนะนำให้ล้างตาถ้าไม่จำเป็น ถ้ามีอาการระคายเคืองเล็กน้อย ใช้เป็นการหยอดน้ำตาเทียมก็อาจเพียงพอแล้ว
เพราะภาวะตาแดงแยกด้วยตัวเองได้ยาก มีทั้งตาแดงจากการติดเชื้อ และตาแดงจากการอักเสบโดยไม่ติดเชื้อ ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือการใช้ยาอันตรายอย่างกลุ่มเสตียรอยด์ผิดวิธี ผิดโรค ซึ่งหากใช้ผิดวิธีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลาม หรือเกิดต้อหิน ต้อกระจกในระยะยาว ฉะนั้นถ้ามีอาการผิดปกติโดยไม่มีวี่แววล่าจะดีขึ้น ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและรับการรักษาที่ตรงกับโรคจะดีที่สุด
พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ จักษุแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคต้อหิน โรงพยาบาลวิมุต อธิบายโรคตาอักเสบจากกรณีนี้ “โรคนี้เรียกว่ากระจกตาติดเชื้อไมโครสปอริเดีย (Microsporidial Keratitis) เกิดจากการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อปรสิตกึ่งราไฟลัมไมโครสปอรา ซึ่งเชื้อกลุ่มนี้พบได้บ่อยในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำโคลน น้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่ไม่ได้มาตรฐาน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่มีประวัติน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หรือทีมนักกีฬารักบี้ที่แข่งขันแล้วไปล้มคลุกในแอ่งโคลนแล้วเกิดการติดเชื้อของสมาชิกในทีมพร้อมๆ กัน
เจอเชื้อเดียวกัน…อาจมีอาการไม่เหมือนกัน
ไมโครสปอริเดียจัดเป็นเชื้อฉวยโอกาส มักแสดงอาการติดเชื้อในอวัยวะที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นดวงตา หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานและสภาวะของแต่ละบุคคล ในคนที่ภูมิคุ้มกันปกติ มักจะติดเชื้อที่ดวงตา ทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตาและชั้นผิวตาส่วนนอก โดยอาการมักไม่รุนแรงถึงขั้นทําให้ตาบอดหรือต้องเปลี่ยนถ่ายกระจกตา แต่ถ้าเป็นคนที่ใส่คอนแทคเลนส์และตาแห้งมีแผลกระจกตาหรือเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง หรือเคยมีโรคเกี่ยวกับดวงตา เคยผ่าตัดตา ก็อาจจะทําให้การติดเชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ปกติ เช่นคนที่มีโรคประจําตัวอย่างเบาหวานเรื้อรังที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิเป็นเวลานาน หากสัมผัสเชื้อก็อาจจะทําให้การติดเชื้อลุกลามไประบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่นระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอุจจาระร่วงเรื้อรัง ถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีอักเสบ จนถึงการติดเชื้อแพร่กระจายหลายระบบในร่างกายได้
กระจกตาอักเสบไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่โรคตาแดงจากไวรัส รักษาผิดอาจทำเชื้อลุกลาม
การแยกแยะโรคตาแดงด้วยตนเองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์ สำหรับการติดเชื้อปรสิตที่กำลังพูดถึงนี้ มักจะเกิดการติดเชื้อหนึ่งข้างได้บ่อยกว่าสองข้างพร้อมๆ กัน โดยตาที่ติดเชื้อมักจะมีอาการระคายเคือง ตาแดง ตามัว น้ำตาไหล มีขี้ตาออกมากกว่าปกติ ซึ่งอาการอาจจะทับซ้อนกับโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสหรือภาวะภูมิแพ้ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่าย
วิธีสังเกตเบื้องต้นคือโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสทั่วไปอาจจะเกิดอาการไล่เลี่ยกับการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ มักมีประวัติสัมผัสโรค และพบการติดเชื้อสองตาพร้อมกันได้บ่อยกว่า เนื่องจากไวรัสมีความสามารถในการแพร่กระจายสูงกว่าเชื้อปรสิต โดยมากโรคตาแดงจากไวรัสมักอาการไม่รุนแรง อาจเกิดการอักเสบที่เยื่อเหนือตาขาวเป็นหลักโดยกระจกตาอาจไม่เกิดแผล ส่วนใหญ่จึงหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษาจำเพาะ
แต่เชื้อปรสิตตัวนี้มักจะเกิดการอักเสบที่กระจกตาโดยตรง ทำให้เกิดตาแดงชนิดที่รอบตาดำมีลักษณะแดงกว่าจุดอื่น (Ciliary Injection) ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบในลูกตาหรือกระจกตา แต่ไม่จำเพาะเจาะจงการอักเสบในดวงตา หรือเชื้ออื่นๆ ที่ทําให้เกิดการติดเชื้อบนตาดํา ล้วนแต่ทำให้มีอาการคล้ายกันได้ ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะโรคนี้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าได้รับการตรวจวินิจฉัยหน้ากล้องขยาย จะเห็นรอยโรคบนกระจกตาที่มีลักษณะจำเพาะของเชื้อชนิดนี้ ทำให้สามารถวินิจฉัยได้
เชื้อปรสิตไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่ “ไรขนตา”
อีกหนึ่งความเข้าใจผิดคือเชื้อปรสิตไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่ “ไรขนตา” เพราะไรขนตา (Demodex) เป็นปรสิตอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเชื้อประจำถิ่น สามารถพบได้บนใบหน้าและรอบดวงตาอยู่แล้ว โดยปกติมักไม่ก่อโรคและไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ถ้าไรขนตามีจำนวนมากจนร่างกายขาดสมดุลก็จะก่อให้เกิดอาการเปลือกตาและผิวหน้าอักเสบแดงได้ สร้างความเดือดร้อนรําคาญและรบกวนการใช้ชีวิตประจําวัน นอกจากนี้แล้วยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อชนิดอื่นเพิ่มเติม เพราะกลไกป้องกันการติดเชื้อบกพร่อง ซึ่งจะแตกต่างจากการติดเชื้อที่ผิวกระจกตาโดยตรง
การรักษากระจกตาอักเสบจากเชื้อไมโครสปอริเดีย
แพทย์ต้องใช้ยาควบคู่หลายตัว ทั้งแบบรับประทานและแบบหยอด สิ่งสำคัญคือคนไข้ไม่ควรซื้อยากินหรือยาหยอดเอง โรคตาแดงทั่วไปที่เกิดจากเชื้อไวรัสหากการอักเสบเป็นมากสามารถให้สเตียรอยด์เพื่อลดอาการตาแดงได้ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อปรสิตตัวนี้ หากผู้ป่วยได้รับยาสเตียรอยด์ ตัวโรคจะแย่ลงเนื่องจากยาเสตียรอยด์จะกดการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เชื้อเพิ่มปริมาณทวีคูณในดวงตามากขึ้น อาจเกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้างและต้องใช้เวลารักษานานขึ้น และผลการรักษาอาจจะแย่ลง
อย่าใช้น้ำประปาล้างตา เสี่ยงทั้งปรสิตและสิ่งปนเปื้อน
เพราะน้ำประปาไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับดวงตา การใช้น้ำประปาล้างตาจึงเกิดอันตรายได้ ถึงแม้ว่าน้ำประปาที่ได้มาตรฐานจะผ่านการฆ่าเชื้อก่อโรคด้วยคลอรีน แต่คลอรีนเองก็ทำให้เกิดการอักเสบระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อดวงตา ซ้ำร้ายถ้าน้ำประปานั้นไม่ได้มาตรฐาน เช่นมีค่าคลอรีนต่ำกว่าเกณฑ์ ก็อาจจะมีเชื้อก่อโรคปะปน และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตา
ให้ใช้น้ำประปาล้างตาได้ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น เช่น เมื่อมีสารเคมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเข้าตา ต้องปฐมพยาบาลโดยการรีบล้างออกด้วยน้ำที่สะอาดที่สุดเท่าที่มีในปริมาณมากทันที แต่สำหรับในชีวิตประจำวัน คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องล้างตา ยกเว้นแต่จะมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ให้เลือกใช้น้ำเกลือหรือน้ำตาเทียม เพราะทั้งสองอย่างนี้ปลอดเชื้อและปลอดภัยที่สุด โดยขั้นตอนการล้างตาต้องระวังไม่ให้น้ำสัมผัสหรือไหลผ่านเปลือกตา ขนตา หรือผิวหนังรอบดวงตา เพราะอาจได้รับสิ่งสกปรก สารเคมี หรือเชื้อโรคปนเปื้อนกับน้ำจากบริเวณดังกล่าวเข้าสู่ดวงตา แพทย์ส่วนมากเลยไม่แนะนำให้ล้างตาถ้าไม่จำเป็น ถ้ามีอาการระคายเคืองเล็กน้อย ใช้เป็นการหยอดน้ำตาเทียมก็อาจเพียงพอแล้ว
เพราะภาวะตาแดงแยกด้วยตัวเองได้ยาก มีทั้งตาแดงจากการติดเชื้อ และตาแดงจากการอักเสบโดยไม่ติดเชื้อ ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือการใช้ยาอันตรายอย่างกลุ่มเสตียรอยด์ผิดวิธี ผิดโรค ซึ่งหากใช้ผิดวิธีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลาม หรือเกิดต้อหิน ต้อกระจกในระยะยาว ฉะนั้นถ้ามีอาการผิดปกติโดยไม่มีวี่แววล่าจะดีขึ้น ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและรับการรักษาที่ตรงกับโรคจะดีที่สุด