Caffeine Dependance เจาะลึกอาการเสพติดคาเฟอีน
สารภาพมาซะดีๆ ใครบ้างที่ต้องกินกาแฟทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้กินแล้วเหมือนสมองไม่สั่งการ จะคิดจะทำอะไรก็ดูจะช้าไปซะหมด อาการแบบนี้อาจแปลว่าคุณกำลังเสพติดคาเฟอีนเข้าให้แล้ว แต่ถึงรู้แบบนี้สาย (กา) แฟทั้งหลายก็อย่าเพิ่งตกใจคิดจะเลิกแบบหักดิบ ลองมาทำความรู้จัก ‘อาการเสพติดกาแฟ’ ให้ดี แล้วดื่มให้เหมาะสมดีกว่า
เพราะจริงๆ แล้วคาเฟอีนก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกันนะ โดยสถาบันการแพทย์อเมริกันได้ทำการวิจัยและพบว่า คาเฟอีนในกาแฟมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสัน ซึ่งผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคพาร์กินสันได้ถึง 25% เลยเชียวล่ะ เช่นเดียวกับผลการวิจัยของ ศจ.ไดแอน วิสธัม นักวิจัยธัญพืชจาก Johns Hopkins University School of Medicine ที่บอกคาเฟอีนในกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารออกฤทธิ์อื่นๆ ที่อาจลดการอักเสบภายใน และป้องกันโรคได้
รู้และเข้าใจ อะไรคือ ‘คาเฟอีน’
เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด ได้แก่ เมล็ดกาแฟ ชา โกโก้ น้ำอัดลม หรือแม้แต่กาแฟดีแคฟ ที่บอกว่าไม่มีสารคาเฟอีน แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบอยู่ เพียงแต่มีปริมาณน้อยมาก รวมถึงยาแก้ปวดบางชนิดก็มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วยเช่นกัน โดยในแต่ละชนิดก็จะมีปริมาณคาเฟอีนไม่เท่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าในกาแฟมีคาเฟอีนมากที่สุด คือกาแฟประมาณ 240 มิลลิลิตร จะมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 95-200 มิลลิกรัม มีความสามารถในการสกัดกั้นการทำงานของสาร Adenosine ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงและเหนื่อยล้า ทั้งยังสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วภายใน 45 นาที นั่นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมหลังจากดื่มกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารคาเฟอีนแล้วร่างกายรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว สมองโล่ง และสามารถทำงานทั่วๆ ไปได้ดีขึ้น จนดูเหมือนเป็นคนละคนกับก่อนหน้า
อาการนี้ ติด (คาเฟอีน) แล้ว (หรือยัง?) นะ
● ต้องดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ ไม่สามารถลดปริมาณลงได้ ดีไม่ดีอาจต้องเพิ่มปริมาณที่มากขึ้น หรือถี่ขึ้น จนนำไปสู่ ‘ภาวะดื้อคาเฟอีน’
● ถ้าวันไหนไม่ได้ดื่มกาแฟ หรือไม่ได้รับคาเฟอีนจะมีอาการผิดปกติทันที คือ ปวดศีรษะบีบๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และมีความต้องการดื่มชา กาแฟมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นอาการของ ‘ภาวะถอนคาเฟอีน’ โดยแต่ละคนจะอาการรุนแรงมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับในช่วงเวลาปกติ
ติดได้...ก็เลิกได้
เพราะคาเฟอีนไม่ได้มีแต่โทษอย่างเดียว แต่ยังมีประโยชน์มากมาย เช่น มีส่วนช่วยให้สมอง ระบบเผาผลาญ และการหายใจทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการปวดภายในร่างกาย รวมถึงลดความเสี่ยงของโรคร้ายหลายๆ โรค แต่ทั้งนี้ต้องรู้จักบริโภคอย่างพอดี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่ควรเกินวันละ 400 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณ 4 แก้ว เครื่องดื่มชูกำลัง 2 ขวด หรือน้ำอัดลมประมาณ 10 กระป๋อง และต้องระวังปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไปด้วย ซึ่งสำหรับคนที่เสพติดคาเฟอีนไปแล้วก็สามารถเลิกได้โดยการ
1. อย่าหยุดคาเฟอีนทันที เพราะจะทำให้เกิดอาการถอนคาเฟอีนได้
2. ค่อยๆ ลดปริมาณคาเฟอีนลงเรื่อยๆ ให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว จนสามารถงดเว้นได้บ้างโดยไม่มีอาการข้างเคียง
3. งดคาเฟอีนจากแหล่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นชา โกโก้ น้ำอัดลม ไอศกรีมรสกาแฟ ช็อกโกแลต เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา ที่อาจเป็นตัวเสริมทำให้ร่างกายยังคงได้รับคาเฟอีนเกินกว่าที่ควรจะเป็น
4. สำหรับคนที่เสพติดกลิ่นและรสของกาแฟ ให้เลือกดื่มกาแฟดีแคฟ (Decaf) หรือกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนแทน เพราะกาแฟประเภทนี้จะมีกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงกับกาแฟปกติ แต่จะมีปริมาณกาเฟอีนที่น้อยกว่าถึง 97% โดยอาจจะดื่มสลับกับกาแฟปกติ ก็จะช่วยให้เลิกกาแฟได้เร็วขึ้น
5. หาเครื่องดื่มอื่นทดแทน อย่างชาสมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีน หรือน้ำเปล่า เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
และสุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ตามอย่าลืมว่า “กาแฟทำให้ตื่น แต่ถ้าอยากสดชื่นต้องมีเรา” (ฮิ้วววว)