ลดน้ำตาลชะลอ Glycation = ผิวอ่อนเยาว์

 “กินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่” คนไทยแปลว่าอิสระ บ่ายๆ แบบนี้จะชานมไข่มุก หรือ จะขนมหวาน ก็ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อน หรือต้องกินให้กระปรี้กระเปร่า - การกินหวานเลยแทบจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับใครหลายคน



ใครเป็นกันบ้าง รู้สึกหงุดหงิด อ่อนแรง ถ้าไม่ได้กินของหวาน? อาการเหล่านี้ อาจเป็นภาวะติดน้ำตาลอยู่ก็ได้ แต่น้ำตาลมันไม่ได้ดีต่อสุขภาพหรอกนะ

น้ำตาล = ผิวแก่ก่อนวัย? 
การบริโภคของหวานหรือน้ำตาลในปริมาณมากเป็นประจำ หรือเพราะชีวิตนี้ขาดหวานไม่ได้ ต้องหาเติมของหวานตลอด นอกจากจะส่งผลให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลยังก่อให้เกิดปฏิกิริยา “ไกลเคชั่น หรือ Glycation” สาเหตุของการแก่ก่อนวัย เนื่องจากโมเลกุลน้ำตาลที่เราบริโภคเข้าไป จะไปเกาะติดกับโปรตีนของเรา ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดสารตัวนึงที่เรียกว่า AGEs (Advanced Glycation End-Products) สรุปง่ายๆ glycation ก็คือการที่น้ำตาลในเลือดในร่างกายไปทำปฎิกิริยากับโปรตีนทำให้โปรตีนผิดรูป

ผลกระทบหลักๆ ของ Glycation ต่อผิว
  • ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินแข็งตัว ผิวขาดความยืดหยุ่น
  • ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส
  • กระตุ้นให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • ลดประสิทธิภาพของการฟื้นฟูเซลล์ผิว

AGEs สารเร่งความแก่ อันตรายขนาดไหน 
เมื่อสารตัวนี้ผ่านเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายแล้ว จะส่งผลให้เซลล์บริเวณนั้นตายหรือเสื่อมสภาพลง จากการวิจัยพบว่าสารนี้เป็นตัวทำลายคอลลาเจน รวมไปถึงใยโปรตีนผิวหนัง ส่งผลให้มีริ้วรอยและจุดด่างดำตามมา

นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อเซลล์สมองได้เช่นเดียวกัน อาจก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งความดันโลหิตสูง เนื่องจากโมเลกุลน้ำตาลที่ไปเกาะโปรตีนในหลอดเลือดส่งผลให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง 

How to ชะลอ Glycation ให้ผิวไม่แก่ก่อนวัย 
1. ลดการบริโภคน้ำตาล และอาหารที่มีค่า Glycemic Index สูง: การกินน้ำตาลมากเกินไปทำให้ร่างกายเกิดกระบวนการ Glycation เร็วขึ้น ควรหลีกเลี่ยง
  • น้ำตาลขัดสี ขนมหวาน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
  • อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว
  • เลือกกินอาหารที่มีค่า Glycemic Index (GI) ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว และผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ

2. กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการสะสมของ AGEs (Advanced Glycation End Products) ที่เกิดจาก Glycation ได้แก่
  • วิตามิน C (เช่น ส้ม ฝรั่ง พริกหวาน) → กระตุ้นคอลลาเจนและลดการเกิด Glycation
  • วิตามิน E (เช่น อะโวคาโด อัลมอนด์) → ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหาย
  • Polyphenols (เช่น ชาเขียว ดาร์กช็อกโกแลต) → ชะลอการเสื่อมของเซลล์

3. ใช้สกินแคร์ที่ช่วยต่อต้าน Glycation: สกินแคร์ที่มีสารช่วยลด Glycation สามารถช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น เช่น
  • วิตามิน C → ช่วยต้านอนุมูลอิสระและปกป้องคอลลาเจน
  • คาร์โนซีน (Carnosine) → เป็นสารต้าน Glycation โดยตรง
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) → ลดความหมองคล้ำและเสริมเกราะป้องกันผิว

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญน้ำตาลในเลือด ทำให้ Glycation ลดลง และช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรงขึ้น

5. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิด AGEs สูง: อาหารที่ผ่านกระบวนการ ปิ้ง ย่าง ทอด ที่ใช้อุณหภูมิสูงจะสร้างสาร AGEs ในร่างกายได้มากขึ้น เปลี่ยนมาใช้วิธี นึ่ง ต้ม หรืออบ แทน

พูดง่ายๆ ชะลอ Glycation = ชะลอวัย 
ถ้าคุณลดน้ำตาล กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม และออกกำลังกายบ่อย ๆ คุณจะช่วยลด Glycation และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ชะลอผิวแก่ก่อนวัยได้ การชะลอวัยนั้นเกิดขึ้นจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ไม่ใช่แค่การดูแลผิวด้วยสกินแคร์อย่างเดียวพอ แต่ต้องดูแลให้ลึกไปถึงชั้นโมเลกุล 

รู้แบบนี้แล้ว บ่ายๆแบบนี้ถ้าเลี่ยงของหวานไม่ได้ แนะนําให้เลือกชนิดของหวาน เช่น น้ำแข็งไสหรือหวานเย็น คู่กับธัญพืชที่มีใยอาหารสูง ประเภท ลูกเดือย ถั่วแดง ถั่วเขียว ข้าวโพด เพราะพวกนี้ใยอาหารมีส่วนช่วยในการชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย หรือเลือกทานผลไม้แทนขนมหวาน ไม่ต้องรีบลองให้เวลาตัวเองปรับตัวสักหน่อย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 10 วัน หลังจากนั้นความต้องการน้ำตาลก็จะค่อยๆ ลดลง 
-->