Let's spin เพราะชีวิตคือการปั่น !!!
ล่าสุดเรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ “เอมี่ หรือ "จอง ฮยอน ลี” เธอเป็นตัวอย่างของคนที่มีแพชั่น มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เธอหลงรักการปั่นจักรยานใน studio จนในวันนี้การปั่นนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอไปแล้ว
จุดเริ่มต้น...ของความ Passion
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เป็นคนชอบออกกำลังกาย แต่เมื่อได้มาลองสัมผัสกับการปั่นจักรยานในสตูดิโอที่ TRIBE BKK ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไป “ปกติเป็นคนไม่ชอบการออกกำลังกายคนเดียว เคยปั่นจักรยานในยิม แต่มันไม่มีเพลง ไม่มีไฟ ไม่มีคนข้างๆ ที่ปั่นไปด้วยกัน มันไม่เหมือนกับที่นี่ ที่เราได้ออกกำลังกายกันเป็นกลุ่ม มีการช่วยกัน Motivate ในคลาส มีกันหลายๆคน มีครูนำ อีกอย่างคือหลังจากปั่นเสร็จแล้วรู้สึกดีมาก หายเครียด และใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาทีต่อคลาสเท่านั้น”
แค่บริหารเวลาให้ดี...ก็ใช้ชีวิต Multi-tasking ได้
และถึงแม้ตารางชีวิตเธอจะแน่น เพราะนอกจากทำงานประจำที่ CPN แล้ว เธอยังต้องแบ่งเวลาไปดูแลร้านเสื้อผ้า Statement และเป็น Marketing Freelance ให้กับ BENZ อีก แต่เธอยังสามารถแบ่งเวลาทำในสิ่งที่เธอแพชั่นอย่างปั่นจักรยานได้อย่างลงตัว “จริงๆ มันไม่ได้ยาก เราทำงานประจำอาทิตย์ละ 5 วัน ส่วนที่เป็นร้านตัวเองหรือฟรีแลนซ์ก็ใช้ช่วงเวลาเสาร์อาทิตย์ ปั่นจักรยานจะเป็นกิจกรรมตอนเย็น หลังจากทำงานเสร็จ เรามองว่าการได้ทำหลายอย่างมันทำให้เราบริหารเวลาได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ”
เมื่อเรารู้สึกดี...ก็อยากส่งต่อให้คนอื่นบ้าง
หลังจากที่เธอได้ปั่นในฐานะนักเรียนมาประมาณปีกว่าๆ เกือบ 2 ปี จากที่ช่วงแรกเพื่อนลากไปทุกวัน พอเธอได้ปั่นแล้วรู้สึกสนุก หายเครียด คราวนี้ก็ติดใจ จนเธออยากให้คนอื่นได้รู้สึกดีบ้าง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ TRIBE BKK “บางวันเราเหนื่อย เครียด รู้สึกไม่มีแรง แต่เมื่อได้ไปอยู่บนจักรยานแล้ว energy มันกลับมา ยิ่งตอนที่ปั่นเสร็จ energy จะเยอะมาก” และตอนนี้เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่าการปั่นกลายเป็นชีวิตของเธอไปแล้ว
แต่การเป็น Trainer ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในการเป็นครูสอนปั่นจักรยานในแต่ละคลาสนั้น นอกจากจะต้องดีไซน์ท่าทางที่บริหารส่วนต่างๆ แล้ว การเลือกเพลงที่ใช้เปิดในคลาสก็ต้องดีไซน์เองเช่นกัน “เราต้องเลือกเพลงเอง ช่วงแรกๆ ใช้เวลานานมาก ประมาณ 4-5 ชั่วโมงในการเตรียมการสอน 1 คลาส ต้องนั่งทำ Playlist ฟังเพลงกันทั้งวัน เพราะแต่ละเพลงก็จะมี beat ที่ไม่เหมือนกัน ทุกเพลงมี bpm (beat per minute) ที่เฉพาะตัว เพราะเราไม่สามารถปั่นด้วยจังหวะที่เร็วได้ตลอดทั้งคลาส 45 นาที เราต้องเริ่มจากวอล์มอัพช้าๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ให้อัตราการเต้นของหัวใจต่ำลงก่อนแล้วค่อยปั่น ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เบิร์น การปั่นก็จะไม่มีประสิทธิภาพ”
ทุกอย่างต้องสร้างด้วย “ใจ”
เธอบอกว่าอีกอย่างที่ประทับใจทุกครั้งหลังคลาสก็คือ การได้เห็นรอยยิ้มของทุกคน “ก่อนจะเริ่มคลาส เราจะกระตุ้นเขาก่อนว่าไม่ว่าจะเหนื่อยมาแค่ไหน เครียดแค่ไหน ขอให้วางทุกอย่างทิ้งไว้หน้าห้องก่อน แล้วหันมาโฟกัสแค่ที่ตัวเองกับจักรยาน พยายาม motivate ให้เขาเชื่อว่าเขาทำได้ เราได้เห็นเขาสู้ มันทำให้เรารู้สึกดี” และ “หลายครั้งที่ตอนเราเปิดประตูเข้ามาก่อนเริ่มคลาส หลายคนดูเหนื่อย ง่วง หน้าไม่ค่อยดี แต่หลังจากที่เขาปั่นเสร็จ ตอนออกไปทุกคนยิ้ม มันทำให้เรารู้สึกดี”
เราเชื่อว่าสาวๆ หลายคนอาจจะรู้สึกว่าการปั่นจักรยานมันหนักเกินไป “จริงๆ แล้วมันมีปุ่มด้านหน้าที่สามารถปรับความหน่วงได้ เพราะเราจะเป็นคนที่รู้สภาวะร่างกายของตัวเองดีที่สุด ส่วนคนที่คิดว่าปั่นแล้วจะขาใหญ่ จะบอกว่าเราไม่ได้ปั่นตลอดเวลา แล้วในการปั่นเราก็มีการเกร็งหน้าท้องตลอดทั้งคลาส มันทำให้เราได้กล้ามเนื้อ เราสามารถเรียนรู้วิธีการควบคุมได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้วิธีปั่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาใหญ่เลย”
นอกจากนี้เธอยังทิ้งท้ายให้กำลังใจกับคนที่อาจจะเป็นสายที่ไม่ชอบออกกำลังกายให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น “เราต้องบังคับตัวเอง และมีวินัยมากๆ อย่างน้อยขอให้มาลองปั่นติดกันซัก 2 อาทิตย์ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ประมาณ 4-5 คลาส แล้วหลังจากนั้นจะติดใจ เพราะการปั่นจักรยานแบบนี้มันได้ทุกส่วน ระหว่างคลาสมีท่ายกเวท เรียกว่าได้ทั้งกล้ามเนื้อและได้เบิร์นไปพร้อมๆ กันเลย”