10 เมนูที่คนเป็น “เบาหวาน” กินได้ แถมดีต่อสุขภาพด้วยนะ
“เบาหวาน” กลายเป็นโรคที่คุกคามสุขภาวะของประชากรโลกเป็นอันดับต้นๆ โดยสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันที่สะดวกสบายและไม่เอื้อให้เกิดการขยับร่างกายเอาเสียเลย โดย International Diabetes Federation ได้ประมาณการว่าประชากรโลก 425 ล้านคนป่วยเป็นโรคนี้ และดูเหมือนตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วยสิ... นั่นทำให้มีการกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน เป็น “วันเบาหวานโลก” เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้
ส่วนสำคัญที่สามารถป้องกันและเยียวยาตัวเองให้ห่างจากโรคนี้คือ “อาหาร” ซึ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดแทบจะโดยตรง... วันนี้เราเลยแนะนำอาหาร 10 ชนิดที่คนเป็นเบาหวานกินได้ เพราะไม่เพิ่มน้ำตาลในเลือด ทั้งยังเหมาะกับคนที่หันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังอีกด้วย
• ดาร์กช๊อคโกแลต : จากการที่มีโกโก้ในอัตราส่วนที่สูงมากกว่าช๊อตโกแลตแบบอื่น ซึ่งโกโก้นี่เองจะมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดความต้านทานของอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดความอยากอาหารได้อีกด้วย
*มองหายี่ห้อที่มีส่วนประกอบของโกโก้อย่างน้อย 70%
• กรีกโยเกิร์ต : วารสาร American Journal of Clinical Nutrition เผยแพร่ข้อมูลว่าการกินโยเกิร์ตเป็นประจำสามารถป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ เพราะมีโพรไบโอติก วิตามินดี แคลเซียม และแมกนีเซียมในปริมาณสูง ทั้งยังดีต่อลำไส้
*เลือกกรีกโยเกิร์ตเพราะมีโปรตีนสูงแถมน้ำตาลน้อย
• น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ : เป็นสิ่งแรกที่ควรจะมีติดตู้เย็นไว้ของคนเป็นเบาหวาน เพราะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแถมลดความอยากกินคาร์บ ทั้งยังเหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักเพียงดื่มก่อนมื้ออาหารสัก 30 นาทีก็ช่วยได้
*เนื่องจากความเป็นกรด ควรผสมน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 1 แก้ว จะช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น
• กาแฟดำ : มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงทั้งยังกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่ต้องมั่นใจจริงๆ ว่าไม่ได้เติมน้ำตาลและครีมเทียมซึ่งไม่ดีต่อโรคที่เป็นอยู่แน่ๆ
*ถ้าคุณไม่สามารถดื่มแบบเพียวๆ ได้ ลองเติมนมอัลมอนด์ หรือผงอบเชยลงไป รับรองว่าช่วยได้มากเลยล่ะ
• ชาเขียว : เป็นเครื่องดื่มที่กระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายได้ดี แถมยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ในปริมาณสูง มีคุณประโยชน์กว่าชาชนิดอื่นถึง 10 เท่า จึงเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอย่างมาก
*ชาเขียวมีคาเฟอีนไม่ต่างจากกาแฟ จึงไม่ควรดื่มเกินวันละ 3-4 แก้ว
• กระเทียม : มีการใช้กระเทียมในทางการแพทย์มานานกับผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง เพราะสามารถลดคอเรสเตอรอลในเลือด ป้องกันเส้นเลือดสมองแตกเฉียบพลัน และช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ ขณะที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง จึงดีต่อผู้ป่วยเบาหวานด้วย เพียงแค่เติมในมื้ออาหารก็ได้ประโยชน์แล้ว
*ดื่มนมสักแก้วหรือแอปเปิ้ลสักผล ก็ช่วยบรรเทาความรุนแรงของกลิ่นปากได้
• หอมแดง : อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยต่อสู้กับโรคเบาหวานได้ ทั้งโพแทสเซียม โฟเลต ฟลาโวนอยด์ และกากใย ทั้งยังเหมาะกับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง แล้วไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกลิ่น เพราะกินเพียงแค่วันละ 170 กรัมไม่ว่าจะแบบสุกหรือดิบ ก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน
*ถ้ากินมากไป นอกจากทำให้มีกลิ่นตัวแล้วอาจผมหงอกเร็วขึ้น
• แครอท : เป็นอาหารต้านเบาหวานที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่ง ด้วยการที่มีวิตามินเอสูงจึงดีต่อระบบภูมิต้านทานและการมองเห็น ขณะที่คณะแพทยศาสตร์ ม.สแตนฟอร์ด วิจัยพบว่าแครอทป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 ได้
*เพิ่มความคิวต์ให้การกินแครอทด้วยการหาเบเบี้แครอทมากินเป็นของว่างระหว่างวันๆ ละ 5-10 ชิ้นก็ไม่เลวนะ
• ขมิ้น : สมุนไพรชนิดนี้ช่วยลดความไวของอินซูลินและช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ เพียงแค่เติมลงในอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำกินเองเป็นประจำ ก็ได้ประโยชน์จากขมิ้นแล้ว
*ควรเก็บขมิ้นในที่แห้งและไม่ถูกแสงแดด ระวังอย่าเก็บนานเกินไปเพราะสารน้ำมันหอมระเหยอาจหมดไป
• ปลา : ปลาเป็นแหล่งของไขมันชั้นดีอย่างโอเมก้า 3 ซึ่งปลาทูมีมากที่สุด โอเมก้า 3 ช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ ลดอาการอักเสบที่อาจเกิดกับเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ทั้งยังลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
จำไว้ว่าการป้องกันดีกว่าการรักษาเป็นไหนๆ เปลี่ยนมา Living healthy ดีกว่าปล่อยให้ป่วยแล้วต้องรักษาตัวจากโรคที่ไม่อยากเป็น ด้วยการเริ่มทำเมนูง่ายๆ กินเองกันเถอะ