เมื่อมะเร็ง ทำให้เธอที่เคยอยู่แต่กับ ‘อนาคต’ ได้กลับมาอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ อีกครั้ง
เบลล์ ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ จากคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง เต็มที่กับทุกเรื่องในชีวิต ทั้งเรื่องงาน เรื่องกิน และเรื่องเที่ยว รวมถึงทุกก้าวในชีวิตของเธอมักจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 ปีเสมอ เหมือนกับเธอกำลังใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับเวลาในอนาคต อีกทั้งไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างหนักหน่วงและไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ ทั้งปาร์ตี้หนัก พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลังกาย และไม่ค่อยใส่ใจเรื่องอาหารการกิน จนสุดท้ายเธอถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปอดและหัวใจ ซึ่งเป็นเคสที่มีโอกาสเกิดเพียงแค่ 1% เท่านั้น
ทุกๆ สเต็ปของชีวิต มีแพลนที่คิดไว้เสมอ
ถ้าย้อนกลับไปสมัยเรียนจนถึงทำงาน นับว่าเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มี Passion และเต็มที่กับการใช้ชีวิตมาตลอด “สมัยเรียนก็จะเป็นคนที่มุ่งมั่น อยากทำอะไรต้องทำให้ได้ อยากเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมฯ เราก็ต้องเรียนพิเศษ อ่านหนังสือเรียนล่วงหน้าตั้งแต่ ม.2 ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็จะเตรียมตัวไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี” หลังจากเรียนจบ ไลฟ์สไตล์ในวัยทำงานของเธอก็ทวีคูณความหนักหน่วงเข้าไปอีก “ด้วยความที่เป็นคนแอคทีฟ ไทม์ไลน์ชีวิตก็จะแอคทีฟล่วงหน้าประมาณปีสองปี กลับมาบ้านก็จะอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเพื่อเรียนต่อในอีกสองปีข้างหน้า แล้วตอนนั้นก็เป็นคนที่ดื่มน้ำน้อย ไม่ชอบออกกำลังกาย นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง เพราะรู้สึกว่าเสียเวลา”
ทุกก้าวที่ชีวิตไปข้างหน้า คือทุกก้าวที่สุขภาพถดถอย
เหมือนสุขภาพเธอจะค่อยๆ แย่ลงจากการใช้ชีวิตที่ติดประมาทของเธอ ไล่ตั้งแต่ตอนมัธยม มาจนถึงตอนเรียนต่อปริญญาโท “พอไปเรียนที่อังกฤษ ก็เหมือนไลฟ์สไตล์ที่นั่นจะหนักกว่าที่ไทยอีก เพราะมันมีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะมาก ตอนเช้าไปเรียน ตอนเย็นก็ไปทำงานที่ร้านอาหารถึงตี 2 วันเสาร์อาทิตย์ก็ออกไปเที่ยว แล้วก็ยังพักผ่อนน้อย ดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกาย ปาร์ตี้หนัก” จนสุดท้ายสัญญาณเตือนของโรคร้ายก็มาถึง “ตอนนั้นน้ำหนักลง ไอติดต่อกันประมาณ 4-5 เดือน จนกระทั่งเราเป็นลมในที่ต่างๆ ทั้งในห้องครัว ในผับ”
รู้ว่าเป็นโรคร้าย ก็ยังไม่วายเป็นห่วงงาน
เธอตัดสินใจบินกลับมาตรวจที่ไทย เพราะกลัวว่าจะไปเป็นลมในห้องสอบ สุดท้ายก็เจอก้อนเนื้อขนาด 10 ซม. อยู่ที่ปอด คุณหมอจึงให้ทำการผ่าตัดโดยด่วนเพื่อนำชิ้นเนื้อมาตรวจ “วินาทีแรกที่คุณหมอบอกว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ยังไม่ช็อกเท่ากับวินาทีที่คุณพ่อถามคุณหมอกลับไปว่า แล้วมันจะอยู่ได้กี่เดือน ซึ่งคุณหมอบอกว่าถ้าร่างกายไม่ไหวจริงๆ อาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน” รู้ขนาดนี้แล้ว เชื่อมั้ยว่าเรื่องสุขภาพก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เธอห่วงเป็นอันดับแรก “วินาทีแรกที่คิดขึ้นมาคือ เหลือแค่สอบอีกวิชาเดียวก็จะจบปริญญาโทที่อังกฤษแล้ว เราอยากจะกลับไปเคลียร์หนี้ ไปหาคนมาทำงานที่ร้านอาหาร กลายเป็นว่าตอนนั้นเราคิดแต่เรื่องงานกับเรื่องเงิน ซึ่งมันเป็นสิ่งรอบตัวภายนอกหมดเลย”
“คำว่ามะเร็งสำหรับเรา ไม่ใช่คำที่ร้ายแรงที่จะทำให้เราตกใจเท่ากับคำว่า 6 เดือน มันเหมือนมีคนมาแสตมป์วีซ่าว่าคุณมีเวลาไม่เกิน 6 เดือนบนโลกใบนี้นะ”
จากคนที่เคยมีเป้าหมายไกลๆ ก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
ต่อมา เธอตรวจเจอก้อนมะเร็งขนาด 5 ซม. ที่หัวใจ ซึ่งถือเป็นเคสที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก “ตอนหมอบอกว่าเป็นมะเร็งแล้วอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน เรายังมีเวลาวางแผนชีวิตได้ แต่ตอนที่เรากลับมาเป็นมะเร็งรอบที่สอง ที่มะเร็งเข้าไปในหัวใจ แล้วหมอบอกว่าถ้าเราไม่ผ่าตัดตอนนี้ มันทำให้เราสามารถตายได้ทุกวินาที คำว่าสามารถตายได้ทุกวินาที มันทำให้เราได้กลับมาอยู่กับปัจจุบันมากๆ” และเธอยังเล่าต่อไปถึงช่วงที่กำลังรักษามะเร็งอยู่ในโรงพยาบาลว่า “ชีวิต 4 ปีที่ป่วย เดือนนึงจะอยู่โรงพยาบาลประมาณ 20 กว่าวัน เพื่อให้ยาคีโม เรารู้สึกเหมือนเราโดนขังคุก แต่คุกของเราคือโรงพยาบาล เรามีความเสี่ยงกับการที่เราจะติดเชื้ออยู่ทุกๆ เดือน มันมีโอกาสที่จะตายได้ทุกเดือนเลย ตอนนั้นเลยทำให้เราอยู่กับปัจจุบันจริงๆ คือจากเป็นคนที่ต้องวางแผนอยู่ตลอด กลายเป็นว่าแค่ตอนนั้น ชั่วโมงนั้นตื่นขึ้นมา กินข้าวได้ ดื่มน้ำได้ ก็มีความสุขแล้ว”
“คำว่าสามารถตายได้ทุกวินาที มันทำให้เราได้กลับมาอยู่กับปัจจุบันมากๆ”
เพราะสมการชีวิต ไม่เหมือนสมการคณิตศาสตร์
เมื่อคุณหมอลงความเห็นว่าทางเดียวที่จะหายคือต้องปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้สเต็มเซลล์ แต่วันแล้ววันเล่าก็ยังไม่พบสเต็มเซลล์ที่เข้ากับเธอได้ ทำให้เธอตัดสินใจอุทิศตัวเองเพื่อทำวิจัยไปกับคุณหมอ “ถ้าการปลูกถ่ายไขกระดูกที่เป็นความหวังสุดท้ายของเรามันไม่หายจริงๆ เราก็บอกกับคุณหมอว่า ไม่เป็นไร งั้นคุณหมออยากจะลองคิดสูตรคีโม หรือผสมอะไรขึ้นมาใหม่ก็ได้ เราตายไปก็จะไม่มีใครฟ้องคุณหมอ ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ทำด้วยกันไปเลย สิ่งไหนที่คุณหมอคิดว่าดี เราก็พร้อมที่จะทดลองและวิจัยไปด้วยกัน สุดท้ายคุณหมอก็ให้ยาคีโมผสมไปเรื่อยๆ จนมันเกิดปาฏิหาริย์ ก้อนในหัวใจและก้อนในปอด มันก็ยุบแล้วก็หายไป ณ จุดนั้น เราเพิ่งเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราเรียนมาทั้งชีวิต เรียนบัญชีเนี่ย 1+1 ก็เท่ากับ 2 แต่ว่าสมการชีวิตอะ ยาตัวนึง บวกกับคนไข้หนึ่งคน คุณหมอคนเดียวกัน มันไม่สามารถที่จะออกมาเหมือนกันได้แบบเป๊ะๆ”
“เราไม่ได้ดีใจที่ก้อนมะเร็งมันหายไป แต่เราดีใจที่เราหันไปเห็นพ่อของเรายิ้มออกมา รู้สึกว่าโมเมนต์ที่พ่อเรายิ้มคือเป็นของขวัญของเรา”
ชีวิตใหม่ที่เธอไม่คิดจะกลับไปใช้แบบเดิมๆ
หลังจากที่เธอหายป่วย เธอก็บอกตัวเองเสมอว่าเธอจะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบตอนก่อนป่วยอีก “เราไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนก่อนป่วยได้ เพราะมันบอกเราแล้วว่าตอนนั้นเป็นการใช้ชีวิตที่ผิด สิ่งหนึ่งที่เรายึดปฏิบัติก็คือเราใช้ชีวิตให้เป็นปกติ เมื่อก่อนนอนวันละ 3-4 ชม. ช่วงนี้นอนวันละประมาณ 8-10 ชม. กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ที่สำคัญคือเป้าหมายชีวิตเราเปลี่ยน จากที่เมื่อก่อนมีแค่งานกับเงิน ตอนนี้มีเรื่องของความสัมพันธ์ เรื่องของสุขภาพ เพิ่มเข้ามาด้วย”
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหรือญาติของผู้ป่วยที่ต้องการคำปรึกษา สามารถสอบถามและปรึกษาคุณเบลล์ได้ที่ เรื่องจริงกะเบลล์ JingaBell